ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2567
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ ก- ก+
ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2567ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 4/2567 วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2567 โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม และมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้
อย่างมาก ส่งผลต่อการสนับสนุนการพัฒนาวิชาการในสถานศึกษาในภาพรวมทุกสังกัด รวมถึงมีการตั้งคำถามถึงบทบาทหน้าที่ที่แท้จริงและความก้าวหน้าในวิชาชีพศึกษานิเทศก์ ทั้งหมดนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหา สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และจัดทำแนวทางการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้น โดยที่ประชุม ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบแนวทางฯ ดังกล่าว ซึ่งจะนำไปสู่การปรับมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ ปรับหลักเกณฑ์การคัดเลือก การกำหนดหลักเกณฑ์การพัฒนาก่อนแต่งตั้งและการปรับโครงสร้างอัตรากำลัง ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ศึกษานิเทศก์ที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบการศึกษา มีความเป็นผู้นำทางวิชาการ มีประสบการณ์และสมรรถนะในการนิเทศการศึกษา นำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้ดำเนินการสำรวจและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับระยะเวลาในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และได้นำข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ขึ้น โดย (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญ คือ คุณสมบัติของผู้ขอย้ายกรณีปกติ นั้น ผู้ขอย้ายต้องดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือรองผู้อำนวยการสถานศึกษา แล้วแต่กรณี ในสถานศึกษาปัจจุบันไม่น้อยกว่า 24 เดือน (2 ปี) โดยให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ยื่นคำร้องขอย้ายประจำปี เป็นการปรับระยะเวลาดำรงตำแหน่งจากหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่กำหนดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 12 เดือน (1 ปี) ซึ่งการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารฯ ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาเรื่องการโยกย้ายบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องความต่อเนื่องในการบริหารสถานศึกษา และเพื่อให้ผู้บริหารมีระยะเวลาในการพัฒนาสถานศึกษาได้ตามแผนพัฒนาสถานศึกษา ส่วนราชการสามารถบริหารอัตราตำแหน่งว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดประโยชน์ต่อนักเรียน ครู ชุมชน และเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้จัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้น โดยที่ประชุม ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบ และ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม โดยสรุป ดังนี้
1) คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครคัดเลือก แบ่งเป็น กลุ่มทั่วไป และเพิ่มเติมอีกหนึ่งกลุ่ม คือ กลุ่มประสบการณ์ ซึ่งต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษา มาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ปี โดยให้พิจารณาเฉพาะการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในสายงานบริหารการศึกษาเท่านั้น มิให้นําการรักษาการในตำแหน่งดังกล่าวมานับรวม โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดสัดส่วนและจำนวนตำแหน่งว่างที่จะใช้บรรจุและแต่งตั้งในกลุ่มทั่วไปและกลุ่มประสบการณ์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหนงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตาม มาตรา 53 วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และมีผลการประเมินการพัฒนางานตามข้อตกลงในรอบการประเมินที่ผ่านมา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
2) หลักสูตรการคัดเลือก แบ่งเป็น 3 ภาค คือ
ภาค ก ความรอบรู้เกี่ยวกับการบริหารงานในหน้าที่ และความสามารถในการวิเคราะห์กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานและการนำไปใช้
ภาค ข การประเมินสมรรถนะทางการบริหาร โดยให้สถาบันอุดมศึกษาหรือหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพทางการบริหารการศึกษา และมีประสบการณ์ในการดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินสมรรถนะทางการบริหารเป็นผู้ดำเนินการประเมิน ภาค ข และเสนอรูปแบบและวิธีการประเมินให้คณะกรรมการสรรหาฯ พิจารณา
ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง
3) เกณฑ์การตัดสิน
- ผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค ให้เรียงลำดับคะแนน ภาค ก จากผู้ที่ได้คะแนน ภาค ก จากมากไปหาน้อยจำนวนไม่เกินสองเท่าของจำนวนตำแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัคร โดยต้องได้คะแนน ไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ
- ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนนเฉพาะ ภาค ข และ ภาค ค แต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ โดยเรียงลำดับคะแนนจากมากไปหาน้อย
4) การขึ้นบัญชี
- ให้ขึ้นบัญชี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์ โดยกำหนดระยะเวลาขึ้นบัญชีไม่เกินหนึ่งปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศขึ้นบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือก เว้นแต่มีการประกาศขึ้นบัญชีผู้ได้รับ การคัดเลือกครั้งใหม่ บัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกครั้งก่อนเป็นอันยกเลิก
5) การบรรจุและแต่งตั้ง
- ให้เลขาธิการ กพฐ. สั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรฐานตำแหน่ง หลักเกณฑ์และวิธีการนี้ และประกาศไว้ในประกาศรับสมัคร ตามสัดส่วนที่กำหนด
- ให้มีการพัฒนาผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามที่ส่วนราชการกำหนด
- ยกเลิกการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดความซ้ำซ้อนเนื่องจากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งต้องประเมินผลการพัฒนางานตามข้อตกลง (PA) ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. เป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขัน
ก.ค.ศ. จึงได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) วิธีการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา ผ่านระบบการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (School Capacity System : SCS) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำระบบ SCS ไปใช้ได้อย่างถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดย (ร่าง) วิธีการบริหารอัตรากำลังฯ มีสาระสำคัญ คือ
1. ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล หรือข้าราชการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามอบหมายในฐานะผู้ใช้งานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เป็นผู้ตรวจสอบและแก้ไข ปรับปรุงข้อมูลอัตรากำลังในสถานศึกษาให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบันผ่านระบบ SCS โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารับรองความถูกต้องของข้อมูลอัตรากำลัง ทั้งนี้ การรับรองความถูกต้องให้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้รับรอง
2. การกำหนดอัตรากำลังสายงานการสอนตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาเอก ว 29/2565 ให้คำนึงถึงความต้องการจำเป็นของสถานศึกษาและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ โดยสามารถพิจารณาวิชาเอกได้ 2 วิธี ดังนี้
2.1 กลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง
2.2 รายวิชา หรือวิชา หรือสาขา หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ ที่ผ่านการประเมินวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด
3. การบริหารอัตรากำลัง ผ่านระบบ SCS
3.1 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตรวจสอบข้อมูลอัตรากำลังของสถานศึกษาจากระบบ SCS โดยให้ใช้ข้อมูลนักเรียนรายบุคคล จำนวน 2 รอบ ประกอบด้วย รอบที่ 1 ข้อมูล ณวันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี โดยให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในดือนกรกฎาคม และรอบที่ 2 ข้อมูล ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม แล้วส่งให้สถานศึกษาตรวจสอบและเสนอความต้องการในการกำหนดสาขาวิชาเอกให้สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาเอกก่อนเสนอผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารับรองเพื่อเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาเห็นชอบ
ทั้งนี้ หากกายหลังจากที่ พิจารณาอัตรากำลังแต่ละรอบแล้ว ข้อมูลอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง ผู้ใช้งานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องแก้ไขปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
ผ่านระบบ SCS
3.2 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานำข้อมูลรอบที่ 1 ที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารับรองแล้ว จัดทำแผนอัตรากำลังเพื่อเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และส่งไปยัง สพฐ, เพื่อตรวจสอบและรวบรวมส่งสำนักงาน ก.ค.ศ.เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของ ก.ค.ศ. ในการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการฯภายในเดือนสิงหาคม
3.3 นำแผนอัตรากำลังและข้อมูลอัตรากำลังจากระบบ SCS ที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เห็นชอบแล้ว
มาใช้ในการพิจารณาบริหารอัตรากำลังของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา
ในแต่ละรอบตามปฏิทินบริหารงานบุคคล ที่ สพฐ. กำหนด ประกอบด้วย การกำหนดสัดส่วนของจำนวนตำแหน่งว่างเพื่อใช้ในการย้ายและการบรรจุและแต่งตั้งจากบัญชีผู้ได้ รับการคัดเลือก ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา การกำหนดจำนวนตำแหน่งว่างเพื่อใช้ในการสรรหาครูผู้ช่วย การย้ายครู และกรณีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุม ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ตัวชี้วัดองค์ประกอบที่ 3 ภูมิลำเนาในส่วนการประเมินประวัติและผลงานซึ่งได้รับการรับรองจากผู้อำนวยการสถานศึกษา ไม่สอดคล้องกับบริบทในการบริหารจัดการศึกษาของ สอศ. เนื่องจากการดำเนินการคัดเลือกดำเนินการโดยส่วนกลางเพียงแห่งเดียว จึงเห็นควรให้ปรับเป็น การประเมินจากภาระงานอื่นที่ได้รับมอบหมายเพิ่มเติมจากการปฏิบัติหน้าที่สอน เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและภาระงานในความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการคัดเลือกเป็นมาตรฐานเดียวกันและเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ สามารถคัดเลือกครูที่เป็นคนเก่ง คนดี มีความรู้ ความสามารถ มีศักยภาพ และประสบการณ์ในการสอนตรงตามความต้องการจำเป็นของสถานศึกษา
- ภาค ก ความรู้ความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ สำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ จชต. เพิ่มเนื้อหาทดสอบความรู้ที่เกี่ยวข้องกับบริบท ประเพณีและวัฒนธรรมในพื้นที่
- ภาค ข ความเหมาะสมกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ จชต. เรื่องระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งและการปฏิบัติงานในเขตพิเศษเฉพาะกิจ จชต.
- ภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง
2) เกณฑ์การตัดสิน
- ผู้ผ่านการคัดเลือก ภาค ก ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ จึงจะมีสิทธิเข้ารับการประเมิน ภาค ข และ ภาค ค
- ผู้ได้รับการคัดเลือกต้องได้คะแนน ภาค ก ภาค ข และภาค ค รวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ โดยให้ ประกาศรายชื่อเรียงตามลำดับที่ผู้ได้คะแนนรวม ทั้ง 3 ภาค จากมากไปหาน้อย
3) ระยะเวลาการขึ้นบัญชี
- กำหนดกรอบระยะเวลาไว้ไม่เกิน ๒ ปี นับแต่วันที่ ประกาศขึ้นบัญชี
4) การเรียกตัวและเงื่อนไขการบรรจุและแต่งตั้ง
- การบรรจุและแต่งตั้ง ให้เรียกตัวผู้ได้รับการคัดเลือก ที่มีคุณสมบัติตรงตามตามมาตรฐานตำแหน่ง ตามลำดับที่ที่ขึ้นบัญชี
- กรณีผู้ได้รับการคัดเลือกรายใดเมื่อถึงลำดับที่ที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งแล้ว ตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ติดเงื่อนไขอื่นใดตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด จะถือว่าผู้นั้นหมดสิทธิในการบรรจุและแต่งตั้ง และให้ยกเลิกการขึ้นบัญชีเฉพาะรายนั้น
- เงื่อนไขการบรรจุและแต่งตั้งสำหรับผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตพัฒนาพิเศษ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี นับแต่วันที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งฯ จึงจะขอย้ายออกนอกเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ จชต. ได้
5) การกำหนดข้อตกลงในการปฏิบัติงาน
- ผู้อำนวยการสถานศึกษา จะต้องปฏิบัติงานตามกรอบภารกิจของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ และ สอศ. และยอมรับที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุตามองค์ประกอบ ตัวชี้วัด คะแนนประเมิน และวิธีการประเมินสัมฤทธิผลการปฏิบัติงานในหน้าที่
ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้บริหารที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนงานนโยบายในการบริหารสถานศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป
8. อนุมัติ แต่งตั้งประธานอนุกรรมการและอนุกรรมการ ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา แทนตำแหน่งที่ว่าง รวมทั้งสิ้นจำนวน 62 เขต
9. อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 4 ราย
10. อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือก ซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2 ราย
11. อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 2 ราย
12. อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 ราย
ขอบคุณเนื้อหาและข้อมูลข่าวจาก :: เว็บไซต์สำนักงาน ก.ค.ศ. วันที่ 29 เมษายน 2567