เลือกซื้อแฟลชไดร์ฟอย่างไร ให้ตรงกับความต้องการ
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ ก- ก+
เลือกซื้อแฟลชไดร์ฟอย่างไร ให้ตรงกับความต้องการแฟลชไดร์ฟ อุปกรณ์เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่นิยมใช้โอนย้ายข้อมูลโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบอินเทอร์เน็ต และด้วยการใช้งานที่สะดวก พกพาง่าย แถมความจุก็สามารถเลือกได้ตามต้องการ จึงทำให้ แฟลชไดร์ฟ ยังคงได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
แฟลชไดร์ฟเป็นอุปกรณ์ที่หาซื้อไม่ยากเย็น โดยมักมีขายอยู่ตามแหล่งร้านค้าขายอุปกรณ์ไอทีทั่วไป แต่เพราะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีวางจำหน่ายหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะรูปแบบการใช้งาน ราคา หรือคุณภาพ จึงทำให้อาจเกิดความสับสนในการเลือกซื้อได้ โดยวันนี้เราก็มีเทคนิคการเลือกซื้อแฟลชไดร์ฟอย่างไรให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้อย่างตรงจุดมาฝากกัน
การพิจารณาเลือกซื้อแฟลชไดร์ฟ
1.เลือกซื้อตามความจุ
ปริมาณความจุของ แฟลชไดร์ฟ คือประเด็นที่ผู้คนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกมากกว่าปัจจัยอื่นใด เพราะเป็นสิ่งที่มีผลต่อการทำงานโดยตรง ซึ่งปัจจุบันแฟลชไดร์ฟที่วางขายกันอยู่ทั่วไป จะมีขนาดความจุต่ำสุดที่ 1-2 GB และสูงสุดที่ 128 GB ยิ่งความจุมากราคาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตาม
หากคุณเป็น นักเรียน หรือ พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องการเก็บไฟล์ เอกสาร รูปภาพ หรือ เพลง ความจุ 4 - 16 GB ถือเป็นความจุที่เพียงพอแล้ว ส่วนใครที่เป็นพนักงานที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์โดยตรงซึ่งจำเป็นต้องมีการเก็บไฟล์ขนาดใหญ่ไว้เป็นจำนวนมาก ก็ควรจะซื้อตั้งแต่ขนาด 32 GB ขึ้นไป ส่วนขนาด 2 GB ที่มีความจุน้อย จะเหมาะกับการใช้เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ใช่ส่วนตัว ซึ่งมักมีการเก็บเข้าและลบออกเป็นประจำ
2.ดูพอร์ตเชื่อมต่อ
พอร์ตเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คุณไม่ควรพลาดขณะเลือกซื้อ หากไม่อยากผิดหวังกับเงินที่เสียไป เนื่องจากพอร์ตคือส่วนสำคัญที่จะเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าระหว่างกัน ซึ่งปัจจุบันมีตั้งแต่พอร์ต USB 2.0, USB 3.0, USB 3.1 จนถึง USB Type C โดยยิ่งเป็นพอร์ตรุ่นใหม่อย่าง USB 3.0 กับ USB 3.1 การทำงานก็จะยิ่งมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่อาจต้องแลกกับราคาที่สูงขึ้นมาบ้าง
3.ประสิทธิภาพการถ่ายโอนข้อมูลของแฟลชไดร์ฟ
เป็นข้อมูลเชิงเทคนิคของอุปกรณ์ เหมาะสำหรับผู้ที่ซีเรียสในความเร็วระหว่างการทำงานของแฟลชไดร์ฟ โดยจะมีการระบุเป็น Read Speed กับ Write Speed ตัวอย่างเช่น Read Speed 200 MB/s, Write Speed 150 MB/s เป็นต้น
อย่างไรก็ตามความเร็วในการถ่ายโอนไฟล์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์แฟลชไดร์ฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปริมาณความจุของข้อมูลที่อยู่ในไฟล์ซึ่งกำลังถ่ายโอนอยู่ด้วย เพราะถึงแม้ว่าแฟลชไดร์ฟจะได้รับการพัฒนาให้ทำงานได้ดีขึ้นอยู่ตลอด แต่ขนาดข้อมูลที่ใช้กันในปัจจุบันนั้นก็มีปริมาณใหญ่ตามไปด้วยเหมือนกัน และอาจรวมถึงวิธีการถ่ายโอนที่ทำให้เกิดความล่าช้าลง อย่างเช่น การส่งข้อมูลขนาดเล็กหลายไฟล์แทนการส่งแบบไฟล์เดียว
4.คุณสมบัติพิเศษของ แฟลชไดร์ฟ
ตลาดสินค้าแฟลชไดร์ฟเป็นตลาดที่ค่อนข้างกว้าง และผู้บริโภคก็มักจะแสวงหาสินค้าตัวใหม่ ๆ อยู่เสมอ นั่นจึงทำให้แฟลชไดร์ฟถูกพัฒนาให้ดึงดูดความสนใจมากกว่าในอดีต อย่างดีไซน์ที่มีรูปทรง และ ลวดลายสีสันที่ค่อนข้างหลากหลาย หรือจะสั่งทำขึ้นรูปเป็นแบบที่ชอบก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ แฟลชไดร์ฟที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานแบบพิเศษอย่าง ป้องกันความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสหรือสแกนลายนิ้วมือ แฟลชไดร์ฟแบบ 2 in 1 จำพวก แฟลชไดร์ฟเข็มทิศ, แฟลชไดร์ฟไฟฉาย, แฟลชไดร์ฟOTG, แฟลชไดร์ฟที่เปิดขวด, แฟลชไดร์ฟพร้อม Power Bank เป็นต้น นอกจากนี้ในก็ยังมีแฟลชไดร์ฟบางรุ่นที่ได้มีการเสริมคุณสมบัติกันน้ำเข้าไปด้วย
5.รับประกันหลังการขาย
สิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรพลาดก็คือการสอบถามประกันหลังซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ที่มีความซับซ้อนสูง โดยปัญหาที่พบส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุปกรณ์โอนย้ายข้อมูล นั่นคือ ปัญหาโอนย้ายแล้วไฟล์เสีย เสียบแล้วไม่ขึ้นข้อมูลอุปกรณ์ หรือใช้ไปสองสามครั้งอุปกรณ์ก็พัง ดังนั้นเพื่อความคุ้มค่าจึงควรเลือกสินค้าที่มีประกันจะได้เบิกสินค้าใหม่เมื่อพบว่ามีข้อบกพร่องได้ ซึ่งสมัยนี้แม้จะเป็นแฟลชไดร์ฟราคาถูกตั้งแต่ 2-4 GB หากเป็นของแบรนด์ดังก็จะมีประกันครบทุกตัว
และนี่ก็คือคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับวิธีการเลือกซื้อ แฟลชไดร์ฟ ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความคุ้มค่ารวมถึงความพึงพอใจเมื่อได้สินค้าที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก https://usb-perfect.com/