LASTEST NEWS

27 พ.ย. 2567บอร์ดก.ค.ศ.เคาะร่างแนวปฏิบัติการย้ายครู ผ่านระบบ TRS เตรียมเปิดใช้งาน มกราคม 2568 27 พ.ย. 2567โรงเรียนแคมป์สนวิทยาคม รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกภาษาจีน เงินเดือน 12,000.-บาท ตั้งแต่บัดนี้ - 1 ธันวาคม 2567 27 พ.ย. 2567ด่วนที่สุด!! ที่ ศธ 04009/ว7543 เรื่อง การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 27 พ.ย. 2567สพฐ. กำชับเขตพื้นที่เร่งคลายทุกข์ลูกจ้าง เดินหน้าพาเด็กกลับเข้าระบบการศึกษา พร้อมจัดงบประมาณแนวใหม่ตอบโจทย์นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” 26 พ.ย. 2567สพฐ. เข้ม สั่งครูล่วงละเมิดนักเรียนออกจากราชการทันที ย้ำดูแลสภาพจิตใจเด็กเป็นสำคัญ 26 พ.ย. 2567สพฐ.เล็งทำบัตรสุขภาพนักเรียนออนไลน์ 26 พ.ย. 2567ทำไมครูส่วนใหญ่ ไม่สนใจสมัครสอบเป็นศึกษานิเทศก์ 26 พ.ย. 2567ก.พ.ยังนิ่งปมทบทวนจ้างเหมาบริการ “ธนุ” ไม่รอแล้วสั่งทำสัญญาจ่ายเงิน ตามระเบียบกรมบัญชีกลาง 25 พ.ย. 2567ล 1932/2567 หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู และที่แก้ไขเพิ่มเติม 25 พ.ย. 2567สพป.ฉะเชิงเทรา เขต 2 เรียกบรรจุครูผู้ช่วย จำนวน 81 อัตรา - รายงานตัว 28 พ.ย. 2567

ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 7/2566

  • 27 มิ.ย. 2566 เวลา 16:48 น.
  • 4,605
ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 7/2566

นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ LINE it! - +

ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 7/2566

            ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 7/2566 วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2566 โดยมีนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม และมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้

 1. อนุมัติ กรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ที่ตั้งใหม่ จำนวน 6 แห่ง รวมทั้งสิ้น 462 ตำแหน่ง
            ตามที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 มีมติเห็นชอบในหลักการพัฒนายกระดับคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาให้เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเสนอ โดยดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ใหม่ขึ้น 6 แห่ง เพื่อเป็นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางด้านการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภูมิภาค ได้แก่ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย กาฬสินธุ์, กำแพงเพชร, ลำปาง, สระแก้ว, สุพรรณบุรี และอุบลราชธานี ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้ขอให้ ก.ค.ศ. อนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้แก่โรงเรียนทั้ง 6 แห่ง โดย ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การบริหารจัดการอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นไปตามกรอบอัตรากำลังที่คณะรัฐมนตรีกำหนดจึงมีมติเห็นควรอนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูฯ รวมทั้งสิ้น 462 อัตรา ดังนี้

          1) อนุมัติกรอบอัตรากำลังตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาแต่ละแห่ง จำนวน 5 อัตรา รวมทั้งสิ้น 30 อัตรา ประกอบด้วย
               - ผู้อำนวยการสถานศึกษา แห่งละ 1 อัตรา รวม 6 อัตรา
               - รองผู้อำนวยการสถานศึกษา แห่งละ 4 อัตรา รวม 24 อัตรา

         2) อนุมัติกรอบอัตรากำลังตำแหน่งครูในสถานศึกษาแต่ละแห่ง จำนวน 72 อัตรา รวมทั้งสิ้น 432 อัตรา

ทั้งนี้ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังจากสถานศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษาที่เกินเกณฑ์มากำหนด

2. อนุมัติกำหนดกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
            ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยเพิ่มเติม จำนวน 6 แห่ง ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ตั้งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย กาฬสินธุ์, กำแพงเพชร, ลำปาง, สระแก้ว, สุพรรณบุรี และอุบลราชธานี นั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ขอให้ ก.ค.ศ. อนุมัติกำหนดกรอบอัตรากำลังตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) สำหรับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยที่ตั้งใหม่ จำนวน 6 แห่ง แห่งละ 36 ตำแหน่ง รวมทั้งสิ้น 216 ตำแหน่ง เพื่อเป็นการสนับสนุนการจัดการศึกษาในสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสถานศึกษาดังกล่าว ก.ค.ศ. จึงได้อนุมัติกำหนดกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ที่ตั้งใหม่ จำนวน 6 แห่ง แห่งละ 36 ตำแหน่ง รวม 216 ตำแหน่ง โดยในระยะแรกเห็นควรกำหนดระดับตำแหน่งเป็น 2 ระดับทุกตำแหน่ง คือ ตำแหน่งระดับปฏิบัติการ/ชำนาญการ สำหรับตำแหน่งประเภทวิชาการ และระดับปฏิบัติงาน/ชำนาญงาน สำหรับตำแหน่งประเภททั่วไป เนื่องจากจะทำให้สามารถใช้ทุกตำแหน่งในการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งได้ และเมื่อภาระงาน ปริมาณงาน และคุณภาพของงานของตำแหน่งมีการเปลี่ยนแปลงไปในระดับที่สูงขึ้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาจพิจารณาเสนอขออนุมัติ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณาปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งต่อไปได้ เงื่อนไขการกำหนดตำแหน่งดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้งบประมาณที่ได้รับและไม่ทำให้งบประมาณรายจ่ายด้านบุคคลเพิ่มสูงขึ้น สำหรับการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนมากำหนดในกรอบอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยที่ตั้งใหม่ ตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด ต้องไม่มีผลกระทบต่องบประมาณของรัฐและไม่ขัดหรือแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีและมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ และเสนอ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณาต่อไป

3. เห็นชอบ (ร่าง) แนวปฏิบัติในการดำเนินการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาไปดำรงตำแหน่งเดิมในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
           สืบเนื่องจาก พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 มาตรา 31 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เสนอแนะต่อ ก.ค.ศ. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลให้เหมาะสมกับการบริหารสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรม โดยคณะกรรมการนโยบายฯ ได้เสนอแนะให้ ก.ค.ศ. นำหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาฯ (ว 7/2564) กรณีที่ 2 การย้ายเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ประเภทที่ 1 การย้ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา กลุ่ม 1 การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาทั่วไป มาใช้ในการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษาไปดำรงตำแหน่งในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรม โดยขอให้คณะกรรมการพื้นที่นวัตกรรมในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม และขอให้ ก.ค.ศ. กำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการ โดย ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า พื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษาเป็นพื้นที่ปฏิรูปการบริหารและการจัดการศึกษาเพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษา ในการที่จะคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาและการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียน และลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา รวมทั้งมีการขยายผลไปใช้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอื่น ดังนั้น เพื่อให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานนำร่องที่อยู่ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษามีผู้บริหารเป็นผู้นำการศึกษาที่มีศักยภาพ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ สมรรถนะ ศักยภาพ และประสบการณ์เหมาะสมกับการปฏิบัติงานในพื้นที่นวัตกรรมทางการศึกษาอันนำมาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพัฒนาคุณภาพและยกผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่ดียิ่งขึ้น จึงเห็นชอบให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เป็นสถานศึกษาที่ต้องมีการพัฒนาคุณภาพเป็นพิเศษและเห็นชอบ (ร่าง) กำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาไปดำรงตำแหน่งเดิมในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยร่างแนวปฏิบัติดังกล่าวมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

           1. ในแนวปฏิบัตินี้ “การย้าย” หมายความว่า การย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไปดำรงตำแหน่งเดิม ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

           2. การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาไปดำรงตำแหน่งเดิมในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา ฯ ว 7/2565 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีที่ 2 การย้ายกรณีเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ประเภทที่ 1 การย้ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา กลุ่ม 1 การย้ายผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาทั่วไป โดยมีแนวปฏิบัติฯ ดังนี้

                2.1 ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ที่มีสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทีเป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สังกัดอยู่ พิจารณาเห็นชอบให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องมีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเป็นพิเศษ

                2.2 ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประกาศรายชื่อสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาที่มีตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาว่างอยู่ หรือมีตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาที่คาดว่าจะว่าง พร้อมทั้งคุณสมบัติของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะได้รับการพิจารณาเสนอรายชื่อ โดยความเห็นชอบของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน

                2.3 ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่มีสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาสังกัดอยู่ และคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในพื้นที่นั้นเสนอชื่อผู้บริหารสถานศึกษาที่มีคุณสมบัติ และให้สอบถามความสมัครใจของผู้ที่ประสงค์จะให้ย้ายด้วย

                2.4 ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่มีสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาสังกัดอยู่ ตั้งคณะทำงาน โดยให้มีผู้แทนคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในพื้นที่นั้น จำนวน ๓ คน ร่วมพิจารณารายชื่อผู้บริหารสถานศึกษาที่ประสงค์จะให้ย้าย

                2.5 ให้คณะกรรมการกลั่นกรองการย้าย พิจารณากลั่นกรองการย้าย ทั้งนี้ หากมีผู้ที่ยื่นคำร้องขอย้ายประจำปีได้ระบุสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไว้ ให้นำมาพิจารณาร่วมด้วย

                2.6 ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา พิจารณาย้าย

4. เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์การย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
           สืบเนื่องจากที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ว 18/2565) เพื่อใช้สำหรับการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว กำหนดให้มีการพิจารณาย้ายกรณีปกติ 2 รอบ คือ รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ - 30 เมษายน และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กันยายน - 31 ตุลาคม เพื่อให้สถานศึกษามีข้าราชการครูก่อนเปิดภาคเรียน ซึ่งจากการดำเนินการพิจารณาย้ายกรณีปกติรอบที่ 1 ที่ผ่านมา พบว่า สถานศึกษาบางแห่งมีครูย้ายออก แต่ไม่มีครูย้ายเข้ามาทดแทน การบรรจุและแต่งตั้งทดแทนไม่สามารถทำได้ทันที เนื่องจากปฏิทินการสอบแข่งขัน/คัดเลือก กำหนดไว้หลังปฏิทินการย้าย นอกจากนี้ครูที่ต้องการยื่นคำขอย้ายต้องทิ้งห้องเรียนเพื่อมายื่นเอกสารหลักฐานจำนวนมากที่สำนักงานเขตพื้นที่ รวมถึงองค์ประกอบในการพิจารณาการย้าย มุ่งพิจารณาครูที่มีผลงานดีออกจากสถานศึกษา และการพิจารณาย้ายของแต่ละ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา มีความแตกต่างกัน จากประเด็นปัญหาดังกล่าว ก.ค.ศ. จึงได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การย้ายข้าราชการครูฯ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรมและตรวจสอบได้ จึงเห็นควรให้ส่วนราชการดำเนินการ ดังนี้

         1. ให้ส่วนราชการกำหนดปฏิทินการบริหารงานบุคคลในภาพรวมประจำปีงบประมาณ โดยการย้ายจะกำหนดให้ยื่นคำร้องขอย้าย 2 รอบ รอบที่ 1 ยื่นเดือนมกราคม พิจารณาย้ายได้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ให้ออกคำสั่งมีผลพร้อมกัน คือ วันที่ 1 พ.ค. และในวันเปิดภาคเรียนที่ 1 คือ 16 พ.ค. สถานศึกษาต้องมีครูสำหรับรอบที่ 2 ยื่นเดือนกรกฎาคม พิจารณาย้ายได้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ให้ออกคำสั่งมีผลพร้อมกัน คือวันที่ 15 ต.ค. และในวันเปิดภาคเรียนที่ 2 คือ 1 พ.ย. สถานศึกษาต้องมีครู

         2. ให้ส่วนราชการจัดทำระบบการย้ายทางอิเล็กทรอนิกส์

         3. กำหนดองค์ประกอบการย้าย โดยมุ่งพิจารณาจากเหตุผลความจำเป็นในการย้าย และสภาพความเป็นอยู่ของครูก่อนเป็นสำคัญ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับครูที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล

         4. กำหนดวิธีการพิจารณาย้าย โดยให้พิจารณาจากผู้ที่มีสาขาวิชาเอกตรงก่อน แล้วจึงพิจารณาผู้ที่มีสาขาวิชาเอกไม่ตรงแต่มีประสบการณ์การสอน ลำดับถัดไป

         5. การย้ายกรณีพิเศษและการย้ายเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ให้ดำเนินการตาม ว 18/2565 ตามเดิม

        6. การย้ายรอบที่ 2 ในปี 2566 ซึ่งเริ่มในเดือน ก.ค. ให้ดำเนินการตาม ว 18/2565 ต่อไปจนแล้วเสร็จ

5. เห็นชอบ การใช้งานระบบบริหารการประชุม (e-Meeting) พร้อมฟังก์ชันรองรับระบบเลขานุการ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
          ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้นำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนภารกิจของหน่วยงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงเล็งเห็นความสำคัญในการปรับเปลี่ยนกระบวนงานด้านการบริหารจัดการการประชุมให้มีความทันสมัย เข้าสู่การประชุมแบบไร้กระดาษ (Paperless Meeting) ด้วยระบบบริหารการประชุม (e-Meeting) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผู้เข้าร่วมการประชุมสามารถประชุมผ่านอุปกรณ์ทุกขนาดหน้าจอ เพื่อเรียกดูรายละเอียดการประชุม วาระการประชุม เอกสารประกอบการประชุม สืบค้นข้อมูลการประชุมต่าง ๆ จดบันทึกส่วนตัว พิจารณารับรองรายงานการประชุมได้ผ่านระบบ พร้อมฟังชันรองรับระบบเลขานุการ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามอำนาจหน้าที่ของ ก.ค.ศ. ตามมาตรา 19 (13) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
         ทั้งนี้ ได้กำหนดปฏิทินการอบรมและชี้แจงการใช้ระบบฯ ให้เลขานุการ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่จำนวน 245 เขต ดังนี้
         เดือนสิงหาคม 2566 อบรม ชี้แจง และทดลองการใช้ระบบกับกลุ่มนำร่อง ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกและภาคตะวันออก
         เดือนกันยายน 2566 อบรม ชี้แจง และทดลองการใช้ระบบกับกลุ่มนำร่องภาคเหนือและภาคใต้
         1 ตุลาคม 2566  เริ่มต้นการใช้งานระบบบริหารการประชุม (e-Meeting) พร้อมฟังก์ชันรองรับระบบเลขานุการ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 245 เขตพื้นที่การศึกษา

          ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการประชุมของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา มีประสิทธิภาพ มีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นระบบ สามารถเก็บรักษาและสืบค้นข้อมูลได้รวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ ก.ค.ศ. จึงเห็นชอบกำหนดการใช้งานระบบบริหารการประชุม (e-Meeting) พร้อมฟังก์ชันรองรับระบบเลขานุการ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ดังนี้
           1. นำระบบบริหารการประชุม (e-Meeting พร้อมฟังก์ชันรองรับระบบเลขานุการ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประเมินผลการบริหารงานบุคลลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
           2. ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้การใช้ระบบบริหารการประชุม (e-Meeting) พร้อมฟังก์ชันรองรับระบบเลขานุการ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาเป็นตัวชี้วัดการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

6. เห็นชอบ (ร่าง) แนวการพิจารณาโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากระทำผิดวินัย กรณีกระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนหรือไม่
          จากการดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการครูที่ผ่านมา ต้องนำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมาบังคับใช้โดยอนุโลม แต่กฎหมายดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติกรณีข้าราชการครูล่วงละเมิดทางเพศผู้เรียนหรือนักศึกษากำหนดไว้ ดังนั้น ในกรณีที่ข้าราชการครูกระทำการล่วงละเมิดทางเพศผู้เรียนหรือนักศึกษา จึงปรับบทความผิดฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วหรือเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แล้วแต่กรณี ต่อมา ก.ค. ได้กำหนดแนวการพิจารณาโทษข้าราชการครูกระทำผิดวินัย 6 กรณีตามหนังสือสำนักงาน ก.ค. ที่ ศธ 1306/ว 5 ลงวันที่
18 ตุลาคม 2543 แจ้งไปยังส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งแนวปฏิบัติดังกล่าวมีส่วนที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติตาม พ.ร.บ. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 เนื่องจาก พ.ร.บ. ดังกล่าว กำหนดกรณีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากระทำการล่วงละเมิดต่อผู้เรียนและนักศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในความรับผิดชอบของตนหรือไม่ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 94 วรรค 3 ก.ค.ศ. จึงพิจารณากำหนดแนวการพิจารณาโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากระทำผิดวินัย กรณีกระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษาไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนหรือไม่ โดยพฤติกรรมที่มีระดับความผิดที่ร้ายแรงมาก สมควรลงโทษไล่ออกจากราชการ ดังนี้

          1. ใช้อำนาจในหน้าที่บังคับ หรือทำให้ผู้เรียนหรือนักศึกษาต้องจำยอมให้ร่วมประเวณี เช่น ให้นักศึกษาที่ติด ร แก้ ร โดยยอมให้ร่วมประเวณี
          2. หลอกลวงพาผู้เรียนหรือนักศึกษาไปเพื่อกระทำชำเรา หรือร่วมประเวณี
          3. ร่วมประเวณีหรือพยายามร่วมประเวณีกับผู้เรียนหรือนักศึกษา หรือให้ผู้เรียนหรือนักศึกษาบำบัดความใคร่ ไม่ว่าผู้เรียนหรือนักศึกษาจะสมัครใจหรือไม่
          4. กระทำการอนาจารผู้เรียนหรือนักศึกษาคนเดียวหรือหลายคนเป็นประจำ
          5. กระทำการถ่ายภาพหรือคลิปผู้เรียนหรือนักศึกษาที่ไม่สมควรทางเพศ หรือให้ผู้เรียนหรือนักศึกษาเปลือย หรือเปิดเผยร่างกายที่ไม่สมควร หรือกระทำการอื่นใดในลักษณะคล้ายคลึงกัน
          ส่วนพฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศผู้เรียนหรือนักศึกษา นอกจากกรณีตามข้อ 1-5 เป็นพฤติกรรมที่มีระดับความผิดที่ร้ายแรงมาก หรือร้ายแรง แล้วแต่กรณี ระดับโทษไล่ออก หรือปลดออก แล้วแต่กรณี

 
ขอบคุณเนื้อหาและข้อมูลข่าวจาก :: กลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ สำนักงาน ก.ค.ศ. วันที่ 27 มิถุนายน 2566 
  • 27 มิ.ย. 2566 เวลา 16:48 น.
  • 4,605

TAGS ที่เกี่ยวข้อง >>

^