ศธ.แจงหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นใต้ใกล้คลอด
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
คณะทำงานยกร่างหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เชื่อจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
วันนี้(12พ.ค.)นายอดินันท์ ปากบารา ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการอำนวยการการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ได้มอบหมายให้ตนในฐานะผู้ตรวจราชการ ศธ.เขตตรวจราชการที่ 8 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับนักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่น จัดทำหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น ขณะนี้คณะทำงานได้ยกร่างหลักสูตรฯเสร็จแล้ว โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1.ประวัติความเป็นมาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพูดถึงอณาจักรลังกาสุกะจนเป็นปัตตานีในปัจจุบัน 2.ชาติพันธุ์ ซึ่งมี 3 ชาติพันธู์ใหญ่ คือ มลายู หรือ ออแฆนายู ไทยพุทธเชื้อสายสยาม หรือ ออแฆซีแย และ เชื้อจีน หรือ ออแฆจีนา ซึ่งทั้ง 3 ชาติพันธุ์อยู่และสร้างบ้านเมืองร่วมกันมาเป็นเวลายาวนาน และมีบุคคลสำคัญทางประวัติศาตร์ที่สร้างมรดกอันล้ำค่าของชาติร่วมกัน 3.วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ขนมพื้นบ้าน อาหารพื้นเมืองที่มีคุณค่า มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเยอะมาก และ 4.พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
นายอดินันท์ กล่าวต่อไปว่า จากนี้จะแปลงเนื้อหาดังกล่าวเป็นหลักสูตรการศึกษาทุกระดับตั้งแต่ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำไปใช้สอนนักเรียน นักศึกษานอกจากนี้การศึกษานอกโรงเรียนยังสามารถนำไปให้ประชาชนเรียนรู้ได้ ด้วย คาดว่าอีกประมาณ 4 เดือนร่างหลักสูตรนี้จะเสร็จสมบูรณ์และนำเสนอ ศธ.เพื่อพิจารณาอนุมัติใช้ในสถานศึกษาได้ ทั้งนี้จากการนำร่างหลักสูตรไปให้ประชาชนในพื้นที่ดู พบว่าประชาชนและผู้เกี่ยวข้องให้ความสนใจ และอยากให้เด็กและเยาวชนได้รู้จักประวัติศาสตร์ที่คนของเขาเป็นคนเขียน ได้รู้จักตัวเองในอดีต ปัจจุบัน และจะเดินต่อไปในอนาคตอย่างไร ซึ่งคณะผู้จัดทำหลักสูตรมีความเชื่อร่วมกันว่าการที่คนในจังหวัดชายแดนภาค ใต้ได้รู้ประวัติศาสตร์ที่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และผ่านพ้นไปแล้ว จะสามารถนำเอามาเป็นประโยชน์ในการอยู่ร่วมกัน และนำมาพัฒนาอนาคตร่วมกันได้ ความสันติสุขอย่างยั่งยืนก็จะเกิดขึ้น
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 12 พฤษภาคม 2557