ศธ.จี้โรงเรียนขยับผลพิซาเด็กไทย
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
“จาตุรน์” จี้โรงเรียนใช้เวลา 16 เดือนก่อนสอบพิซาปี 58 เล็งยกระดับเป้าหมายกลุ่มโรงเรียนผลพิซาตกต่ำ จับครูอบรม ฝึกเด็กทำข้อสอบเข้มข้น ชี้ผลพิซาที่ดีจะเชื่อมโยงถึงเศรษฐกิจบ้านเมือง
วันนี้ (26มี.ค.) ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ นายจาตุรนต์ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมเร่งรัดการยกระดับคุณภาพผู้เรียนสู่ความพร้อมในการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ พิซา ว่า ตามที่ตนได้ประกาศนโยบายยกระดับคุณภาพผู้เรียน โดยเฉพาะการยกระดับผลสอบพิซ่าของเด็กไทยจะต้องมีคะแนนที่สูงขึ้นในปี 2558 และ 2561 นั้น ตนขอย้ำว่านโยบายดังกล่าวไม่ได้ต้องการให้ยกระดับผลคะแนนพิซ่าสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์และมีทักษะในการดำเนินชีวิต ซึ่งบางประเทศที่มีผลคะแนนพิซาที่ดีจะเชื่อมโยงไปถึงเศรษฐกิจบ้านเมืองให้ดีขึ้นตามไปด้วย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า การเพิ่มคะแนนพิซานั้น กลุ่มเป้าหมายสำคัญ คือ โรงเรียนที่เคยได้คะแนนพิซาต่ำ เพราะการทำให้กลุ่มที่ได้คะแนนสูงอยู่แล้วได้คะแนนสูงขึ้นอีก เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่การทำให้กลุ่มที่เคยได้คะแนนต่ำ ทำคะแนนได้ดีขึ้นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่า และมีผลต่อคะแนนโดยรวม ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในการสอบรอบนี้ ที่จะมีขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี 2558 ศธ.จะให้ความสำคัญกับโรงเรียนกลุ่มดังกล่าว โดยจะให้มีการอบรมครู นำข้อสอบไปให้นักเรียนทดลองทำอย่างเข้มข้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเน้นการติว เพื่อให้เด็กทำคะแนนได้ดี แต่เราจะเอาผลการทดสอบมาวิเคราะห์ดูว่า จุดอ่อนของแต่ละโรงเรียนอยู่ตรงไหน และหาทางแก้ไขภายใน 16 เดือนนี้ จุดอ่อนใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ทันทีก็จะทำเลย ตนขอให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนายกระดับเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว เพราะหากทำได้ก็จะส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กไทยดีขึ้นตามไปด้วย
ดร . ธงชัย ชิวปรีชา ประธานคณะกรรมการปฏิบัติการในคณะกรรมการเร่งรัดพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อยกระดับผลการทดสอบพิซา กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ามีข้อมูลเชิงประจักษ์จำนวนมากที่บ่งชี้ว่าคุณภาพการศึกษาของไทยยังต้องได้รับการปรับปรุงอย่างหนัก ทั้งคะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ที่คะแนนแต่ละวิชาต่ำไม่ถึงครึ่ง ขณะเดียวกันยังมีข้อมูลจากองค์กรต่าง ๆ พบว่า ศักยภาพในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทย อยู่ในลำดังที่ 55 จากประเทศที่ได้สำรวจทั้งหมด 60 ประเทศ ซึ่งถ้าโดยภาพรวมคนไทยยังใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็คงไม่สามารถไปต่อสู่กับประเทศอื่นๆ ได้ โรงเรียนต่าง ๆ จึงต้องทบทวนว่า ขณะนี้สอนภาษาอังกฤษเพื่อสอบหรือสอนเพื่อสื่อสาร ซึ่งจากประสบการณ์ครูไทยสอนภาษาอังกฤษเพื่อสอบเท่านั้น
ดร.ธงชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้การประเมินผลของเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม พบว่าการศึกษาไทยอยู่ลำดับที่ 8 ของอาเซียน แพ้ลาวและกัมพูชา โดยข้อมูลหนึ่งที่ใช้ในการสำรวจ คือ อัตราการเข้าเรียนระดับประถมศึกษาสุทธิของแต่ละประเทศ ซึ่งเมื่อดูก็น่าตกใจ ที่พบว่าประเทศไทยมีอัตราการเข้าเรียนระดับประถมศึกษาต่ำกว่าทั้งสองประเทศ โดยเด็กไทย 100 คน ได้เข้าเรียนประถมศึกษาเพียง 90 คน หรือคิดเป็น 89.7% ซึ่ง ข้อมูลส่วนนี้มีความสำคัญมาก เพราะถ้าสมมติว่าไม่ตรงกับความจริง และมีการประกาศข้อมูลดังกล่าวไปทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียอย่างมาก และที่น่าตกใจกว่านั้น ข้อมูลดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ประเทศลาวมีอัตราการเข้าเรียนระดับประถมศึกษา 97% หมายความว่า เด็กลาว 100คน ได้เข้าเรียนประถม 97 คน ซึ่งเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว เด็กชนเผ่าของประเทศลาว ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาเลย ส่วนกัมพูชา เด็กได้เข้าเรียนระดับประถมศึกษาถึง 98% ขณะที่ผลการประเมินเชิงคุณภาพ การประถมศึกษาของไทย ของไทยได้ 3.5 คะแนนเต็ม 7ลาว ได้ 3.8 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีผลกระทบต่อการเลือกลงทุนในประเทศไทยของชาวต่างประเทศ
“ หลายประเทศที่ประสบความสำเร็จในการยกระดับคะแนนพิซา พบแล้วว่าคะแนนพิซามีความสัมพันธ์กับคุณภาพการศึกษา และสภาพเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ดังนั้นจึงต้องทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว โดยประเทศไทยเหลือเวลาเตรียมตัว อีกประมาณ 16 เดือนที่จะเข้าสอบในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2558 มีโรงเรียนที่ต้องเข้าสอบทั้งหมดประมาณ 12,000 โรงเรียน ซึ่งเท่าที่ดูจากระยะเวลาดังกล่าวแล้วเป้าหมายที่จะยกระดับคะแนนพิซาให้เท่ากับค่าเฉลี่ยนานาชาติที่ 500 คะแนนนั้น คงไม่สามารถทำได้ เพราะปัจจุบันคะแนนเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 440 แต่หากพัฒนาอย่างต่อเนื่องก็อาจได้ตามเป้าหมายในปี 2561 เท่ากับว่าเราจะต้องเร่งพัฒนาเด็กที่อยู่ในชั้นป.5-6 เพื่อให้มีความพร้อมในการสอบพิซา ปี 2561 น่าจะมีความหวังมากกว่า ” ดร.ธงชัย กล่าวและว่า ขณะที่การสอนในโรงเรียนก็จะต้องปรับเปลี่ยน เพราะในอนาคตทิศทางการสอบของพิซาจะเปลี่ยนมาใช้การสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งการสอบจะมีทั้งเสียงและภาพเคลื่อนไหว ดังนั้นโรงเรียนต่างๆจึงต้องเร่งปรับตัว และฝึกเด็กให้ชินกับการสอบรูปแบบดังกล่าวด้วย.
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 26 มีนาคม 2557