สมศ.ยันใช้เกณฑ์ประเมินเดียวกันทั้งประเทศ - เผยเกณฑ์รอบสี่ยากและท้าทายมากกว่าเดิม
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
สมศ.ยันใช้เกณฑ์ประเมินเดียวกันทั้งประเทศ
วันนี้ (13มี.ค.) ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวถึงกรณีที่ผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ระบุว่าเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ.ไม่เป็นธรรมกับโรงเรียนและเด็กด้อยโอกาส ว่า สมศ.ต้องยึดเกณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่อย่างน้อยทุกโรงเรียนจะต้องผ่าน ทั้งนี้ สมศ.ทราบดีว่าเกณฑ์ดังกล่าวทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง โรงเรียนขนาดใหญ่ และโรงเรียนขนาดเล็ก สมศ. จึงพยายามดึงโรงเรียนที่ผ่านการประเมินมาเป็นโรงเรียนเครือข่าย ตามโครงการ 1 ช่วย 9 เพื่อร่วมกันพัฒนาโรงเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น อย่างไรก็ตามรู้สึกเห็นใจโรงเรียนที่อยู่ตามชายแดน หรือบนยอดดอย เพราะแต่ละปีจะได้รับเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนน้อยมาก แม้จะเพิ่มให้อีกเท่าตัวแต่ก็เป็นเงินเพียง 2-3 หมื่นบาทเท่านั้น จึงเป็นปัญหาที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องรีบแก้ไข และควรสนับสนุนเงินพิเศษ เพื่อนำไปใช้พัฒนาคุณภาพนักเรียน
" สาเหตุหลักที่โรงเรียนขนาดเล็กมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ คือ เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ และขาดครูผู้สอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ศธ. ต้องรีบเข้ามาแก้ปัญหา และบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้ได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้มีโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งที่อยู่ใกล้กันจะมาบริหารร่วมกัน โดยมีการแชร์ทั้งครู และอุปกรณ์การเรียนการสอน ผลปรากฏว่าโรงเรียนเหล่านี้ผลการประเมินอยู่ในระดับดี และดีกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่บางแห่ง อีกทั้งที่ผ่านมา สมศ.ก็เอื้อประโยชน์ให้แก่โรงเรียนที่บริหารร่วมกัน โดยจะเข้าไปประเมินภาพรวม แทนที่จะประเมินแยกเป็นรายโรงเรียน ถ้าผลการประเมินผ่าน ทุกโรงเรียนที่บริหารร่วมกันก็จะผ่านทั้งหมด ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้มาก" ศ.ดร.ชาญณรงค์ กล่าว
ต่อข้อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปรับหลักเกณฑ์การประเมินฯรอบสี่ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น ผอ.สมศ. กล่าวว่า ขณะนี้คณะทำงานกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้การประเมินไปส่งเสริมโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น แต่ยืนยันว่าเกณฑ์คงจะย่อหย่อนกว่าการประเมินฯ รอบสามไม่ได้ เพราะ สมศ.ต้องยกมาตรฐานให้สูงขึ้นเทียบเท่ากับมาตรฐานอาเซียนและสากล มิฉะนั้นไทยจะแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ ดังนั้นเกณฑ์ในรอบต่อไปจะต้องมีความยาก และท้าทายมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนให้ทั้งระบบเดินก้าวหน้าไป.
ที่มาของข่าว : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 13 มีนาคม 2557