"อ๋อย"โบ้ยระบบทำ"แท็บเล็ตล่ม" ไม่ใช่ความผิด"พท."/"สมพงษ์"เชื่อมีปัญหาทั้งยวงมากกว่า60%เคยท้วงแต่ไม่ฟัง
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
"อ๋อย"โบ้ยระบบทำ"แท็บเล็ตล่ม" ไม่ใช่ความผิด"พท."/"สมพงษ์"เชื่อมีปัญหาทั้งยวงมากกว่า60%เคยท้วงแต่ไม่ฟัง
"จาตุรนต์" รับจัดซื้อแท็บเล็ตล่มเกิดจากความล้มเหลวของระบบ ปัดไม่ใช่ความผิดพลาดนโยบายพรรคเพื่อไทย แต่ไม่มีปัญหาทุจริตแน่ หวังสตาร์ทเดินหน้าจัดซื้อใหม่ เริ่มจากป้องกันปัญหาให้ดีที่สุด รอสรุปบทเรียน 7 ก.พ.นี้ "สมพงษ์ จิตระดับ" ชี้แจกแท็บเล็ตเป็นนโยบายประชานิยมแบบฉุกละหุก เชื่อมีปัญหาทั้งระบบมากกว่า 60% ที่ผ่านมาเคยทักท้วง แต่ไม่ฟัง แนะควรเปิดโอกาสฟังความคิดเห็นให้รอบด้าน ทำวิจัยก่อนเดินหน้าต่อ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการยกเลิกสัญญาจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ต ปีการศึกษา 2556 ของบริษัท เสิ่นเจิ้น อิงถัง อินเทลลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด ที่ชนะการประมูลจัดซื้อแท็บเล็ตชั้น ป.1 และ ม.1 โซน 1 ภาคกลางและภาคใต้ จำนวน 431,105 เครื่อง มูลค่า 842 ล้านบาท และโซน 2 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 373,637 เครื่อง เป็นเงิน 786 ล้านบาท ว่า ตนได้ขอให้คณะกรรมการจัดซื้อและคณะกรรมการตรวจรับเตรียมการรวบรวมวิเคราะห์บทเรียนจากการดำเนินงานที่ผ่านมาทั้งหมด เช่น การจัดซื้อแท็บเล็ตควรดูว่าสเปกที่กำหนดควรเป็นเช่นไร และที่สำคัญต้องดูข้อกำหนดและเงื่อนไขการประกวดราคา หรือทีโออาร์ หรือหลักเกณฑ์การประมูล การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ขายหรือผู้ผลิต เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้ไปดูเรื่องของวิธีการประมูลรอบใหม่ว่าอาจจะต้องใช้การประมูลหน่วยงานเดียวแบบเดิม หรือจะแยกการประมูลของแต่ละหน่วยงาน เพราะการจัดซื้อแท็บเล็ตครั้งนี้มีของส่วนราชการอื่นด้วยประมาณ 7-8 หน่วยงานที่เป็นเจ้าของงบประมาณ โดยทั้งหมดนี้ต้องประเมินมาให้ดีที่สุด และต้องรีบตัดสินใจบนพื้นฐานของการสรุปบทเรียนและป้องกันปัญหา
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาพูดได้เต็มปากว่าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน เมื่อมีการทักท้วงก็หาทางตรวจสอบให้หมดข้อสงสัย เมื่อบางเรื่องเห็นว่าน่าจะมีการทุจริตก็ระงับยับยั้ง ตรวจสอบหรือไม่ แต่บางสัญญาก็ยกเลิกไป โดยรวมแล้วตลอดกระบวนการไม่มีทุจริตและไม่มีข้อกล่าวหา แต่กลับมาพบปัญหาความไม่สำเร็จในการจัดซื้อ ความล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพของระบบจัดซื้อ คงต้องดูระเบียบข้อกฎหมายและการดำเนินการของผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากเรื่องทั้งหมดทำให้เกิดความเสียโอกาสกับนักเรียนที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องสรุปบทเรียนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้จัดซื้อ ผู้ตรวจรับ เป็นต้น ได้มาร่วมกันแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร ซึ่งในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ที่ตนจะประชุมคณะกรรมการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพาจะต้องให้ได้ข้อสรุปทั้งหมด โดยเฉพาะการจัดประมูลแท็บเล็ตรอบใหม่ในโซนที่มีปัญหาทั้งหมด
“เรื่องนี้กระทบพรรคเพื่อไทยอยู่บ้าง เพราะเป็นนโยบายของพรรค ไม่ได้เกิดผลสัมฤทธิ์ แต่ไม่เกิดจากการผิดพลาดทางนโยบาย ส่วนที่ทำไปแล้วมีผลดีต่อการเรียนการสอน ซึ่งยอมรับว่าเกิดความล้มเหลวในการจัดการ ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมา และผมเป็นรัฐมนตรีตอนหลังก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เป็นความบกพร่องของระบบ ต้องแยกแยะว่าปัญหาอยู่ที่ไหนบาง ก็ต้องไล่แก้ปัญหากันไป”
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับเกณฑ์ให้เขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการจัดซื้อเอง รักษาการรัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าวว่า เป็นประเด็นหนึ่งที่สามารถจะคิดได้ เพราะเดิมได้ดำเนินการจัดซื้อรวมมาแล้ว และต่อมามาแบ่งเป็นโซนเพื่อคำนึงถึงความสะดวกในการซ่อม ดังนั้นตอนนี้ต้องชั่งน้ำหนักการรวมให้ สพฐ.ดำเนินการจัดซื้อให้ ซึ่งทำให้องค์กรเล็กที่หากดำเนินการเองป่านนี้คงเสร็จไปแล้ว แต่ก็อาจจะเจอปัญหาจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ว่าการจัดซื้อราคาต่างกันจะได้หรือไม่ โดยทั้งหมดนี้ต้องมาหารือเพื่อหาข้อสรุปกัน
รศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีการยกเลิกสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตของบริษัท เสิ่นเจิ้นฯ ว่า ที่ผ่านมาตนคิดว่านโยบายแท็บเล็ตค่อนข้างเป็นนโยบายประชานิยมแบบฉุกละหุก ทำให้ขณะนี้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิชาการได้ตั้งคำถามในหลายประเด็นแล้ว เช่น บริษัทที่เข้ามาประมูลนั้นมีสินค้าที่มีคุณภาพและมั่นคงหรือไม่ แม้กระทั่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การส่ง การซ่อมอุปกรณ์ เมื่อใช้ไปแล้วถ้าเกิดปัญหา ใครจะเป็นผู้ดูแล หรือแท็บเล็ตมีความเหมาะสมกับเด็ก ป.1 หรือไม่ แม้ว่ารัฐบาลเคยให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ไปทำวิจัยมาแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เอาผลวิจัยดังกล่าวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งขณะนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็มีความชัดเจนและสามารถจะบอกได้ว่าเกิดปัญหากันทั้งระบบ
รศ.สมพงษ์กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าโครงการนี้มีปัญหามากกว่า 60% ซึ่งการสรุปในวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งการสรุปบทเรียนตนเห็นด้วย แต่อาจจะได้แค่ข้อสรุปเบื้องต้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราต้องดูข้อมูลให้รอบด้าน ฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และมีงานวิจัยมารองรับ หากฟังจากคณะกรรมการการจัดซื้อแท็บเล็ตที่มีนายจาตุรนต์เป็นประธานนั้นจะมีข้อมูลเพียงด้านเดียว และแน่นอนน่าจะสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป ซึ่งจะเป็นจุดอ่อนเวลานักการเมืองเข้ามามีบทบาท และหากฟังความคิดเห็นเพียงด้านเดียวก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดความผิดพลาดอีกครั้ง
“ควรจะให้หลายๆ ฝ่ายมาสรุปบทเรียน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีอยู่มาก หากสรุปข้อมูลในเร็วๆ นี้ ตนคิดว่าอาจจะได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเพียงพอ เชื่อว่าการทำวิจัยนั้นดีที่สุด เพราะจะมีข้อมูลว่าจะเกิดปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้ทราบว่าจะเดินหน้าต่อหรือจะยกเลิกโครงการ” รศ.สมพงษ์กล่าว.
ที่มาของข่าว : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557