นายกฯ หวังทุกฝ่ายปรับตัวพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
นายกฯ หวังทุกฝ่ายปรับตัวพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
นายกรัฐมนตรีขอทุกฝ่ายปรับตัวพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ย้ำรัฐบาลเร่งดูแลให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง หาตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาการส่งออก
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ รัฐบาล เตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 2558 ซึ่งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดขึ้นภายใต้ชื่องาน "เส้นทางประเทศไทย สู่ประชาคมอาเซียน" ตอนหนึ่งว่า อาเซียนมีพันธะสัญญาร่วมกันว่าในปี 2558 ทั้ง 10 ชาติในอาเซียนจะรวมกันเป็น 1 ภายใต้ 3 เสาหลััก คือ มั่นคง เศรษฐกิจ ซึ่งบางมุมมองเห็นว่าอาเซียนเป็นความเสี่ยง แต่ถ้าทุกประเทศร่วมมือกัน เตรียมตัวให้พร้อมก็จะกลายเป็นโอกาสที่สำคัญของอาเซียน ความผันผวนทางเศรษฐกิจมีความซับซ้อน หลังจากที่ประเทศที่พัฒนาแล้วมีการใช้มาตรการ QE ทำให้ค่าเงินมีความผันผวนกระทบต่อไทย ซึ่งใช้มาตรการ QE ทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ เงินที่ไหลเข้าทำให้เงินบาทแข็ง กระทบต่อความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย ซึ่งหากการเปลี่ยนแปลงของเงินบาทเป็นไปตามภูมิภาคจะไม่กระทบต่อการแข่งขันของไทยมากนัก นายกรัฐมนตรี บอกว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาพึ่งพาการส่งออกมากกว่า 60% รัฐบาลจึงต้องปรับสมดุลย์ให้ไทยอยู่ได้หากเศรษฐกิจโลกเกิดภาวะผันผวน โดยสิ่งสำคัญคือ ต้องรักษาฐานเดิม และขยายฐานใหม่ พร้อมกับมองว่าการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วทำให้ต้องปรับตัวให้ทัน บางครั้งถ้าลงทุนเร็วเกินไปอาจผลิตสินค้าที่ล้าสมัย แต่ถ้ารอเทคโนโลยีแล้วไม่ลงทุนก็กลายเป็นการเสียโอกาส ดังนั้นต้องติดตามสถานการณ์ และปรับตัวให้ทันกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป
นายกรัฐมนตรี บอกว่าการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนก่อให้เกิดความเชื่อมโยงมากขึ้นทั้งกายภาพ การให้บริการ การบริหารจัดการภาครัฐ และประชาชน ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง และต้องไปปรับยุทธศาสตร์ด้วย ที่ผ่านมาไทยพึ่งพาการส่งออกสูง แต่ตลาดหลักเริ่มซื้อน้อยลง ดังนั้น ต้องมีการเปิดตลาดใหม่ หาลูกค้าใหม่ โดยต้องสร้างมูลค่าให้กับสินค้ามากขึ้น พร้อมทั้งเร่งแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคการส่งออก พร้อมกับบอกว่ากฎระเบียบของไทยไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น กฎระเบียบที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน การใช้แรงงานผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ ซึ่งทำให้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็็นข้อกีดกันทางการค้า
นายกรัฐมนตรี บอกว่าโครงสร้างประชากรของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยในอีก 30 ปีข้างหน้าสัดส่วนผู้สูงอายุของไทยจะเพิ่มจาก 14% เป็น 27% และในปี 2568 ไทยจะเข้าสู่สัังคมผู้สูงอายุแบบเต็มตัว รัฐบาลจะต้องเร่งหาทางปรับโครงสร้างประชากร เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงานในวัยทำงาน รวมถึงผลกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมของประเทศ อาทิ การยกระดับรายได้ของประชาชน ยกระดับความสามารถการแข่งขันเอกชน และยกระดับสวัสดิการรัฐ โดยในปีที่ 2 ของรัฐบาลได้วางแผนการพัฒนาประเทศในระยะยาวเพื่อให้ประเทศมีขีดวามสามารถในการแข่งขัน คนไทยอยู่ดีกินดี มีความเสมอภาค ซึ่งยุทธศาสตร์ประเทศที่่รัฐบาลวางไว้ประกอบด้วย
1.การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการยกระดับรายได้ประชาชาติของไทยให้ก้าวสู่กลุ่มประเทศรายได้สูง
2.การสร้างความเท่าเทียมทางสังคมด้วยการพัฒนาคุณภาพคนไทย ลดความยากจน ลดช่องว่างระหว่างคนรวย-จน เข้าถึงบริการพื้นฐาน ซึ่งการพัฒนาคุณภาพของคนจะต้องดูแลประชากรทุกช่วงวััย รวมถึงการปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างคนให้สอดคล้องกับความต้องการของโลกโดยอยากเห็นการเรียนการสอนของไทยที่เน้นการคิด วิเคราะห์มากกว่าการท่องจำ ต้องมีการพัฒนาครูรวมถึงนำเทคโนโลยีและพัฒนาหลักสูตรร่วม ASEAN
3.การทำให้เศรษฐกิจเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ
4. การปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อทำให้ระบบการบริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ที่มาของข่าว : สำนักข่าวไทย วันที่ 16 กันยายน 2556