LASTEST NEWS

27 ก.ค. 2567ไม่ต้องผ่านภาค ก 65 อัตรา วุฒิปริญญาตรีทุกสาขา เงินเดือน 16,830 บาท สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รับสมัครสอบบรรจุเป็นพนักงาน ตั้งแต่บัดนี้ - 9 สิงหาคม 2567 27 ก.ค. 2567โอกาสมาแล้ว!! น้องนิสิต นักศึกษาครู เชิญทางนี้ กรุงเทพมหานคร เปิดสอบครูผู้ช่วย (โครงการช้อนครู) 322 อัตรา รับสมัคร 30 ก.ค. - 2 ส.ค.2567 27 ก.ค. 2567เมืองพัทยา เปิดสอบผู้ช่วยครูผู้ช่วย จำนวน 17 อัตรา รับสมัคร 1-9 สิงหาคม 2567  26 ก.ค. 2567สพป.นนทบุรี เขต 2 เรียกบรรจุครูผู้ช่วย รอบ 2 ปี 2567 จำนวน 15 อัตรา - รายงานตัว 6 สิงหาคม 2567 26 ก.ค. 2567สพป.ศรีสะเกษ เขต 4 เรียกบรรจุครูผู้ช่วย รอบที่ 2 จำนวน 11 อัตรา - รายงานตัว 1 สิงหาคม 2567 26 ก.ค. 2567สพป.ปทุมธานี เขต 1 เรียกบรรจุครูผู้ช่วย รอบที่ 2 จำนวน 5 อัตรา - รายงานตัว 6 สิงหาคม 2567 25 ก.ค. 2567“ศธ.-มท.” เตรียมสุ่มตรวจยาเสพติดโรงเรียน 25 ก.ค. 2567สพป.ฉะเชิงเทรา เขต 1 เรียกบรรจุครูผู้ช่วย บัญชีปี พ.ศ.2566 รอบที่ 7 จำนวน 1 อัตรา - รายงานตัว 1 สิงหาคม 2567 25 ก.ค. 2567สพป.ฉะเชิงเทรา เขต 1 เรียกบรรจุครูผู้ช่วย บัญชีปี พ.ศ.2567 รอบที่ 2 จำนวน 9 อัตรา - รายงานตัว 1 สิงหาคม 2567 25 ก.ค. 2567สพป.นครราชสีมา เขต 6 เรียกบรรจุครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ. ปี 2567 รอบที่ 2 จำนวน 8 อัตรา - รายงานตัว 7 สิงหาคม 2567

‘อ่านไม่ออก…เขียนไม่คล่อง’ ยาขมหม้อใหญ่ ‘เด็กไทยชาติพันธุ์’

  • 25 ส.ค. 2556 เวลา 08:42 น.
  • 2,481
‘อ่านไม่ออก…เขียนไม่คล่อง’ ยาขมหม้อใหญ่ ‘เด็กไทยชาติพันธุ์’

นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ LINE it! - +

‘อ่านไม่ออก…เขียนไม่คล่อง’ ยาขมหม้อใหญ่ ‘เด็กไทยชาติพันธุ์’
 
ควันหลงจาก “วันภาษาไทยแห่งชาติ” ที่ปีนี้แม้แต่บราวเซอร์ “กูเกิล (Google)” ยังทำ “ดูเดิล” (Doodle) หรือภาพที่วาดลงบนโลโก้ของกูเกิลด้วยอักษรภาษาไทย เพื่อร่วมรณรงค์ให้คนไทยรักและใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง อีกทั้งช่วยเผยแพร่ความเป็นเอกลักษณ์ของภาษาไทยสู่สายตาชาวโลก
 
    ย้อนกลับไปสมัยคนรุ่นปู่รุ่นย่า แม้จะเรียนขีดๆ เขียนๆ จบเพียง ‘ป.4’ ก็เติบโตเป็นเจ้าสัวร้อยล้านพันล้านได้ ขณะที่เด็กยุคใหม่ซึ่งเติบโตท่ามกลางเทคโนโลยีสมองกล แต่ “ทักษะพื้นฐานในสื่อสาร” ทั้ง “การอ่านการเขียน” กลับพัฒนาสวนทางกับความเจริญในปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กไทยที่อยู่บริเวณชายขอบประเทศ ที่พบปัญหา “เด็กใช้ภาษาในชีวิตประจำวันต่างจากครูผู้สอน”
 
    ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้สำรวจข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียนพื้นที่แนวชายแดน 30 จังหวัด 45 เขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศ พบว่ามีโรงเรียนจำนวน 90 แห่งที่ใช้ “ภาษาในชีวิตประจำวัน” เป็นภาษาชาติพันธุ์ภาษาแม่ภาษาบ้าน กว่า 30 ภาษาบางโรงเรียนมีการใช้ภาษาที่แตกต่างกันถึง 3 ภาษา จึงไม่น่าแปลกใจถึงปัญหาผลสัมฤทธิ์ต่ำ และปัญหาเด็กหลุดกลางคัน
 
    การจัดเวทีเสวนาเครือข่ายผู้นำการเรียนรู้ ครั้งที่ 3 : ผู้นำการเรียนรู้สู่สังคมพหุวัฒนธรรม โดยการสนับสนุนของ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมเครือข่ายผู้นำการเรียนรู้ทั่วประเทศ จึงมุ่งนำเสนอนวัตกรรม “ทวิภาษา” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ถูกคิดค้นเพื่อแก้ปัญหาการอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ในกลุ่มเด็กไทยชาติพันธุ์ ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ณ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ โดยมี ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ให้เกียรติเป็นประธานเช่นเคย
 
    เวทีครั้งนี้ สสค.ได้พันธมิตรใหม่จาก โรงเรียนบ้านพุย ต.บ่อหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ที่นักเรียนสัญชาติไทยเป็น “กะเหรี่ยงโปว์ร้อยเปอร์เซ็นต์” เช่นเดียวกับ โรงเรียนวัดวังก์วิเววังการาม อ.สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนมอญ ผู้คนส่วนใหญ่ร่วมทั้งเด็กรุ่นใหม่ยังรักษาเอกลักษณ์ถิ่นด้วยการ “ใช้ภาษามอญ” ในชีวิตประจำวัน
 
    นางปิยพัทธ์ มีอ่วม ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพุย และ นายนรา สุขวิสิฏฐ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม กล่าวตรงกันว่า เมื่อปัญหาคือเด็กไม่เข้าใจภาษาที่ครูสอน ก็ต้องหา “คนกลาง” มาเป็นสะพานเชื่อมโยงความเข้าใจ จึงเป็นที่มาของดึง “ครูถิ่น” ทั้งชาวกะเหรี่ยงโปว์และชาวมอญมาเป็นพี่เลี้ยงร่วมกับครูไทย โดยในเฉพาะในช่วงอนุบาล 1-2 ซึ่งเด็กจะเริ่มเรียนรู้จากการฟังและพูดจากคนใกล้ตัว ฉะนั้นหากเด็กคุยกับครูไม่รู้เรื่องก็จะทำให้เบื่อการมาโรงเรียน และจะขาดความสนใจในชั้นเรียน ครูถิ่นจึงเข้ามามีบทบาทสูงในช่วงปฐมวัย โดยจะมีครูไทยเป็นผู้ออกแบบบทเรียนเพื่อให้เนื้อหาครบตามพัฒนาการทุกกลุ่มสาระ โดยมีครูถิ่นช่วยวิเคราะห์และคิดว่าการสอนและเนื้อหาแบบไหนที่จะเชื่อมโยงให้เด็กชาติพันธุ์เข้าใจมากที่สุด
 
    เริ่มจากการสื่อความหมายและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เด็กอยากจะสื่อสารให้ตรงกัน โดยใช้ชีวิตประจำวันและประเพณีในท้องถิ่นมาอธิบาย ก่อนจะปูพื้นฐานสู่การอ่านเขียนในช่วงชั้นที่สูงขึ้น
    ในระดับอนุบาล 1 นั้นจะเน้นการสื่อความหมายและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เด็กอยากจะสื่อสารให้ตรงกัน โดยเชื่อมโยงกับประเพณีวัฒนธรรม และการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์ 
 
    ส่วนในระดับอนุบาล 2 ที่เริ่มการอ่าน-เขียนนั้น โรงเรียนบ้านพุยได้มีการพัฒนาระบบการเขียนภาษากะเหรี่ยงโปว์ โดยใช้ “พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ไทย” กับเทคนิคการเทียบเสียงในภาษาไทยและภาษากะเหรี่ยงที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้เด็กเข้าใจความหมายให้ได้ก่อน ด้วยอักษรภาษาไทย เพราะภาษากะเหรี่ยงไม่มีตัวอักษร ซึ่งสามารถเทียบได้ทั้งหมด 24 เสียง เช่น เสียงภาษากะเหรี่ยงที่อ่านว่า “ช้าง” แต่ความหมายแปลว่า “ไก่” ก็จะใช้ ช.ไก่ 
 
    หลังจากนั้นจึงเริ่มให้หัดประสมคำ ให้เกิดความหมายด้วยภาษากะเหรี่ยง ด้วยอักษรและตัวสะกด สระ วรรณยุกต์ไทยในสื่อการสอนกล่อง “ผสมคำ” เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝน มากกว่าการท่องจำ “คำ” เป็นตัวๆ ไป โดยในระดับอนุบาลเด็กจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฝึกทักษะการพูดอ่าน-เขียนกับครูถิ่น และเรียนภาษาไทยเพียงเล็กน้อยกับครูไทย ก่อนจะขยายเวลาให้เรียนกับครูไทยมากขึ้น จนเต็มเวลาในช่วงชั้นที่สูงขึ้นต่อไป
 
    การเรียนทวิภาษาจึงมีเป้าหมายที่ใช้ภาษาแม่ หรือภาษาถิ่นเป็นพื้นฐานและเป็นสะพานเชื่อมไปสู่การเรียนภาษาไทย ขณะเดียวกันก็จะทำให้เด็กคงความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองได้
 
    ผศ.วรรณา เทียนมี ประธานมูลนิธิภาษาศาสตร์ประยุกต์ ได้กล่าวถึงปัญหาของโรงเรียนในพื้นที่ชายขอบว่า “ในแต่ละพื้นที่จะมีภาษาเป็นของตัวเอง แต่เมื่อมาเรียนในระบบ เด็กต้องใช้ภาษาไทย ทำให้เป็นข้อจำกัดและส่งผลให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้ การมาเรียนจึงเปรียบได้กับยาขมหม้อใหญ่ของเด็กๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะกระบวนการเรียนรู้ด้านภาษานั้นต้องเริ่มต้นจากการฟัง ที่เริ่มจากคนใกล้ตัว หัดพูดเป็นคำ และพูดเป็นประโยคในที่สุด หากเด็กมาเริ่มต้นเรียนภาษาจากการเรียนอ่านและเขียนต้องเป็นการเรียนภาษาที่สอง เช่น การเรียนภาษาอังกฤษต่อจากภาษาแม่ คือ ภาษาไทย เป็นต้น จึงเป็นปัญหาของเด็กชายขอบเหล่านี้ และส่งผลให้เด็กไม่อยากมาเรียนหนังสือ และเลิกเรียนกลางคันในที่สุด”  
 
    ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. กล่าวว่า เมื่อภาษาเป็นที่มาในการรู้จักตัวเอง รู้จักอัตลักษณ์ท้องถิ่น เป้าหมายของการรู้ภาษาจึงไม่ใช่เพียงแค่ “การอ่าน-ออกเขียนได้” แต่ภาษานั้นเป็นเครื่องมือที่จะนำสู่การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ให้เกิดความปรองดองท่ามกลางความหลากหลายของวัฒนธรรมไทย ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลาย 10 กลุ่ม ซึ่งบางครั้งการศึกษาก็ทำให้เราลืมไปว่าเรามีพี่น้องที่ต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนา แต่เป็นคนไทยด้วยกัน ฉะนั้นการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม “ทวิภาษา” เบื้องหลังคือเราได้เรียนรู้ความต่างในเรื่อง “พหุวัฒนธรรม” จากเพื่อนร่วมชาติ
 
    “สสค.หวังว่าตัวแบบเหล่านี้จะกระจายไปสู่ชนกลุ่มน้อยทั่วประเทศในประเทศไทย และโรงเรียนชายขอบ เพราะระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ให้คนเหล่านี้เสมอในการรู้จักวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของเขา ผมเชื่อว่าสังคมที่มีสีสันที่หลากหลายสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองได้ เพียงแค่เริ่มจากการเรียนรู้ใหม่ร่วมกันของคนไทยทุกคน
    ภาษาจึงไม่ใช่แค่เป้าหมายในตัวเอง แต่เป็นเครื่องมือไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทย.
 
ที่มาของข่าว : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 25 สิงหาคม 2556
 
  • 25 ส.ค. 2556 เวลา 08:42 น.
  • 2,481

TAGS ที่เกี่ยวข้อง >>

ความคิดเห็นเกี่ยวกับ : ‘อ่านไม่ออก…เขียนไม่คล่อง’ ยาขมหม้อใหญ่ ‘เด็กไทยชาติพันธุ์’

เงื่อนไข การร่วมแสดงความคิดเห็น!

ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป

ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้

^