KRUWANDEE

สพฐ.ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง 7 ข้าราชการมีเอี่ยวทุจริตสอบครูผู้ช่วย หลังพบมีความเชื่อมโยงกับการทุจริตที่เกิดขึ้น
 

วันนี้ (11 มี.ค.) ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่าสพฐ.ได้รับรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตการสอบครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 จากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดที่สพฐ.แต่งตั้งแล้ว ทำให้ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นในกรณีปัญหาการสอบที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 ที่มีผู้เข้าสอบแทนผู้สมัครว่าผลการไปตรวจสอบพบความผิดปกติมากขึ้นและแสดงว่าการตรวจตราผู้เข้าสอบไม่ได้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าให้คณะกรรมการกำกับห้องสอบตรวจสอบว่าผู้เข้าสอบเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้สมัครสอบ โดยดูรูปถ่ายจากบัตรประจำตัวผู้สอบ นอกจากนี้ลายมือชื่อของผู้เข้าสอบก็ไม่เหมือนลายมือชื่อในใบสมัครสอบ ดังนั้นการตรวจสอบโดยกรรมการคุมสอบจึงไม่ได้ทำตามแนวปฏิบัติที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ยังตรวจพบว่าในบัตรประจำตัวผู้สมัครสอบทั้งสองรายที่มีผู้เข้าไปสอบแทนมีรอยประทับตราของสพป.ขอนแก่น เขต 3 ซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้งจึงพบพิรุธว่าเกี่ยวกับรูปถ่ายและตราประทับของเขตพื้นที่ฯ ซึ่งการนำรูปถ่ายมาติดในบัตรผู้สมัครสอบถูกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมารอยประทับจึงไม่ซ้ำที่รอยเดิม

 

เลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อว่านอกจากนี้ยังพบพิรุธการจัดที่นั่งสอบที่ปกติต้องจัดแบบวนลูกศรในทิศทางจากหน้าห้องไปหลังห้องและสลับหลังห้องมาด้านหน้า แต่ทางเขตพื้นที่ฯได้จัดผังที่นั่งใหม่โดยเรียงหน้ากระดานจากซ้ายไปขวาซึ่งไม่เป็นไปตามแบบแผนที่กำหนด ฉะนั้นต้องไปตรวจสอบให้ละเอียดต่อไปว่าเป็นคำสั่งจากใคร ทั้งนี้จากหลักฐานต่างๆ ดังกล่าวที่รวบรวมมามีข้อมูลเพียงพอว่ามีการโยงใยระหว่างบุคคลในเขตพื้นที่การศึกษากับบุคคลที่ปลอมตัวเข้ามาสอบแทนจึงเป็นเหตุให้ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงฯเสนอแนวทางดำเนินการและตนก็ได้เห็นชอบตามที่เสนอให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง7 ราย ได้แก่
1) ผอ.สพป.ขอนแก่น เขต 3
2) รองผอ.สพป.ขอนแก่น เขต 3 ที่รับผิดชอบการบริหารงานบุคคล
3) ผู้อำนวยการกลุ่มบุคคลประจำสพป.ขอนแก่น เขต 3  และ
4) - 7) ผู้ที่ทำหน้าที่คุมสอบอีก 4 คน

และในระหว่างนี้จะออกคำสั่งให้ย้ายผอ.สพป.ขอนแก่น เขต 3 และรองผอ.สพป.ขอนแก่น เขต 3 ย้ายออกจากพื้นที่เพื่อมาช่วยราชการที่สพฐ.ก่อน ทั้งนี้เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยฯได้ลงไปตรวจสอบข้อมูลอย่างครบถ้วนจากบุคคลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ออกมาพบว่าบุคคลทั้ง 7 คนมีความเชื่อมโยงการกรณีที่เกิดขึ้นจึงต้องตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป

 

"กรณีที่ผู้ใดไม่ว่าจะอยู่พื้นที่การศึกษาใดหากมีข้อมูลหรือเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารหรือบุคลากรในเขตพื้นที่การศึกษาใด หรือเกี่ยวข้องกับบุคลากรในส่วนกลางก็ขอให้แจ้งข้อมูลและเบาะแสมายังสพฐ.หรือแจ้งมาที่นายสุเทพ ชิตยวงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการกพฐ.ได้24 ชั่วโมง ทางสพฐ.พร้อมจะไปจะตรวจสอบโดยจะไม่มีการยกเว้นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จึงอยากให้ทุกคนให้ความร่วมมือเพราะการดำเนินการครั้งนี้ต้องการให้เกิดความสุจริตเกิดขึ้นในระบบการบริหารงานบุคคลที่ต้องอาศัยทุกฝ่ายร่วมกันขจัดการทุจริตให้หมดสิ้น " ดร.ชินภัทร กล่าวและว่าส่วนกรณีที่พบว่าการสอบครูผู้ช่วยในครั้งที่ผ่านมามีคนมาสอบประมาณ 9,000 คนจากยอดสมัครกว่า 18,000 คนนั้นในช่วงที่มีการสอบเป็นข้อมูลที่ปรากฎในเขตพื้นที่การศึกษา ทางสพฐ.จึงไม่ได้รับรายงานข้อมูลในส่วนดังกล่าว ซึ่งการที่คนหายไปอาจจะเป็นตามที่กล่าวอ้างว่าเป็นการสมัครเผื่อไว้และจะดูว่าที่ไหนอัตราการแข่งขันน้อยกว่าก็จะไปสอบที่นั้นแทน

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าสพฐ.จะมีการตรวจสอบกรณีที่เอกสารลับของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดนายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็นประธาน ซึ่งพบความเชื่อมโยงของผู้บริหารระดับผู้อำนวยการในสพฐ.กับผู้อำนวยการโรงเรียน เลขาธิการกพฐ. กล่าวว่าก็ขอให้มีข้อมูลหลักฐานที่พอระบุความเชื่อมโยง หากยังไม่มีสพฐ.ก็จะดูเฉพาะความรับผิดชอบที่ดูแล แต่หากสุดท้ายมีข้อมูลที่เชื่อมโยงกับใครก็จะดำเนินการโดยไม่มีการยกเว้นผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น.

 

ขอบคุณข้อมูลจาก --> เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 11 มีนาคม 2556