2 หมื่นลูกจ้างสอศ.อดเป็นพนักงาน ครม.ตีกลับหวั่นเพิ่มภาระงบฯ
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
2 หมื่นลูกจ้างสอศ.อดเป็นพนักงาน ครม.ตีกลับหวั่นเพิ่มภาระงบฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่าตามที่สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้เสนอขออนุมัติเปลี่ยนสถานภาพลูกจ้างชั่วคราวเป็นพนักงานราชการ สังกัด สอศ.เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเป็นอัตราพนักงานราชการสายผู้สอน จำนวน 8,595 อัตรา และพนักงานราชการสายสนับสนุน จำนวน 11,403 อัตรา รวมทั้งสิ้น 19,998 อัตรา นั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีมติไม่อนุมัติกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการดังกล่าว เนื่องจากสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ได้ให้ข้อสังเกตว่าตอนที่ สอศ.ขอจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา บอกว่าจะไม่มีการเพิ่มอัตรากำลัง และกรอบอัตรากำลังดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มภาระงบประมาณให้แก่รัฐบาล
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อไปว่า สอศ.จะจัดทำข้อมูลชี้แจงไปยังสำนักงบประมาณ และ สภาพัฒน์ เพื่อทำความเห็นเสนอ ครม.อีกครั้ง โดยจะชี้แจงให้ทราบถึงความจำเป็นว่าขณะนี้วิทยาลัยในสังกัด สอศ.ขาดแคลนครูผู้สอนและขาดแคลนกำลังคนเป็นจำนวนมากจากนโยบายจำกัดกำลังคนภาครัฐ โดยถูกตัดอัตราครูจากการเกษียณอายุราชการ การเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด การโอน ย้าย และลาออกเนื่องจากความไม่มั่นคงในอาชีพ ส่งผลให้งานคั่งค้างไม่ต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดความเสียหายหรือส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการสถานศึกษาและคุณภาพในการจัดการเรียนการสอน อีกทั้งที่ผ่านมาสถานศึกษาต้องแก้ปัญหาโดยใช้เงินอุดหนุนรายหัวที่ควรนำมาพัฒนาคุณภาพการศึกษาปีละประมาณ 360 ล้านบาท เพื่อจ้างครูอัตราจ้างและลูกจ้างชั่วคราวมาทำหน้าที่ตามความจำเป็น
"ปัจจุบันประเทศก็ขาดแคลนฝีมือระดับช่างเทคนิค หาก ครม.อนุมัติกรอบอัตราดังกล่าวให้ สอศ.ก็จะทำให้สัดส่วนครูต่อนักเรียนอาชีวะเป็นไปตามมาตรฐาน ครู 1 คน ต่อผู้เรียน 30 คน ช่วยลดภาระงบประมาณของสถานศึกษาให้สามารถนำงบฯ ไปใช้ในการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพสูงขึ้นและสามารถผลิตกำลังแรงงานในการรองรับการพัฒนาประเทศให้มีศักยภาพทางการแข่งขันสูงขึ้น ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ" ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวและว่า ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูล พบว่า สถานศึกษากลุ่มวิทยาลัยเทคนิคมีการจ้างลูกจ้างชั่วคราวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 41.30 รองลงมาคือกลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ ร้อยละ 31.53 และลูกจ้างชั่วคราวที่ได้ถูกจ้างอยู่ในสถานศึกษาและหน่วยงานสังกัด สอศ.เป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 3 ปีขึ้นไป มีถึงร้อยละ 60 ดังนั้น การที่ลูกจ้างชั่วคราวเหล่านี้จะได้รับโอกาสเปลี่ยนสถานภาพเป็นพนักงานราชการ ซึ่งมีความมั่นคงในอาชีพและได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น จะเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจให้แก่บุคลากร และยังรักษาไว้ซึ่งบุคลากรที่มีประสบการณ์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญต่อไป.