พฤติการณ์ "ส่อไปในทางชู้สาว"...ผิดวินัยร้ายแรงนะครับ !!
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ ก- ก+
พฤติการณ์ "ส่อไปในทางชู้สาว"...ผิดวินัยร้ายแรงนะครับ !!พฤติการณ์ "ส่อไปในทางชู้สาว"...ผิดวินัยร้ายแรงนะครับ !! : บทความพิเศษ โดย... นายปกครอง
“ครู” อาชีพที่หลายคนฝันที่จะเป็น เพราะเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ได้รับความเคารพนับถือและไว้วางใจจากคนทั่วไป... เราท่านทั้งหลายต่างได้รับการปลูกฝังความคิดมาอย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่นว่า..คือ ปูชนียบุคคล ผู้ประสาทความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและการดำเนินชีวิตให้แก่บรรดาลูกศิษย์น้อยใหญ่ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม
ครูจึงเป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญและมีคุณูปการต่อสังคมและชาติบ้านเมือง ในทางกลับกันหากครูปฏิบัติหน้าที่บกพร่องต่อจรรยาวิชาชีพหรือดำรงตนให้เป็นที่เสื่อมศรัทธา ย่อมส่งผลกระทบต่อสังคมและชาติบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังเช่นคดีปกครองที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับข้าราชการ โดยเฉพาะ “ครู” ครับ...เพราะคดีนี้ มูลเหตุเกิดจากข้าราชการครูหนุ่มถูกกล่าวหาว่าพาลูกศิษย์สาวเข้าโรงแรม ผลการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงเห็นว่าเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผู้มีอำนาจจึงมีคำสั่งลงโทษทางวินัยไล่ออกจากราชการครูหนุ่ม “ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” หรือไม่? ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและจากผลการสอบสวนรับฟังได้ ดังนี้... ครับ
ข้าราชการครูหนุ่มให้การยอมรับว่า พาผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกศิษย์เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าโรงแรมจริง โดยไม่ได้มีเจตนาล่วงละเมิดทางเพศ แต่ต้องการหลบซ่อนคนรักของตน โดยวันเกิดเหตุพบผู้เสียหายขณะรอกลับบ้านแต่ไม่มีรถกลับ จึงอาสาพาไปส่งเพราะเป็นทางผ่าน แต่ระหว่างทางครูหนุ่มเกรงว่าหากคนรักเห็นจะเกิดหึงหวงจึงไปเปิดห้องพักโรงแรมอยู่กับผู้เสียหายตั้งแต่ 09.00 น. จนถึงเวลาใกล้เที่ยงจึงออกจากโรงแรมไปพบคนรัก โดยผู้เสียหายรออยู่ที่โรงแรม
อีกทั้งคำของพยานที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์...เช่น ครูที่ปรึกษาและญาติที่ผู้เสียหายโทรศัพท์แจ้งให้มารับที่โรงแรม ครูผู้ปกครองให้การสอดคล้องกันว่า ขณะรับโทรศัพท์ผู้เสียหายร้องไห้และขณะไปรับที่โรงแรมผู้เสียหาย
อยู่ในสภาพชุดนักเรียนเสื้อปล่อยชายและร้องไห้ อีกทั้งพนักงานโรงแรมให้ถ้อยคำว่าครูหนุ่มเข้าพักในโรงแรมเวลาประมาณ 09.00 น. และพยานหลายปากให้การว่าผู้เสียหายมีความชอบพอกับครูหนุ่มจนเป็นที่เล่าขานกันมาก่อน
พฤติการณ์ดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ฟ้องคดี (ครูหนุ่ม) ยอมรับว่าได้พาผู้เสียหายเข้าโรงแรมจริงและอยู่กับผู้เสียหายเป็นเวลาหลายชั่วโมง แม้จะไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศผู้เสียหาย แต่จากคำให้การของพยานซึ่งมิได้มีเรื่องโกรธเคืองหรือให้การในลักษณะปรักปรำหรือกลั่นแกล้ง อีกทั้งสถานที่ที่ผู้ฟ้องคดีพาผู้เสียหายเข้าไปก็เป็นโรงแรม ในฐานะครูย่อมต้องมีสามัญสำนึกมากกว่าสามัญชนทั่วไปว่าเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมที่ชายหญิงจะเข้าไปอยู่ด้วยกันสองต่อสอง วิญญูชนทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่า “ส่อไปในทางชู้สาว” จึงย่อมชี้เจตนาของผู้ฟ้องคดีได้ว่าไม่ได้พาผู้เสียหายหลบซ่อนคนรักของตนและระยะเวลาที่อยู่กับผู้เสียหายนานถึงสองชั่วโมง
พฤติการณ์จึงถือได้ว่าไม่รักษาชื่อเสียงของตนและไม่รักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน การกระทำล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนหรือไม่ จึงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 94 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ คำสั่งลงโทษไล่อออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 945/2561)
ทุกอาชีพย่อมมีความสำคัญต่อบุคคลและสังคมด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษา ย่อมต้องมีสามัญสำนึกมากกว่าวิญญูชนทั่วไปว่า “โรงแรม” เป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมที่ครูจะพาลูกศิษย์เข้าไปอยู่ด้วยกันสองต่อสองตามลำพัง ด้วยวิญญูชนทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่าส่อไปในทางชู้สาวครับ !! (ปรึกษาคดีปกครองได้ที่สายด่วนศาลปกครอง 1355 และสืบค้นเรื่องอื่นๆ ได้จาก www.admincourt.co.th เมนูวิชาการ เมนูย่อยอุทาหรณ์จากคดีปกครอง)
ขอบคุณเนื้อหาและข้อมูลข่าวจาก :: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันที่ 6 ธันวาคม 2561