สั่งพัฒนาสมองอุดลดเวลาเรียน สพฐ.คิดเมนูกิจกรรมใหม่รับ รร.นำร่อง 2 รุ่น
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)กลับไปดูกิจกรรมที่ใช้พัฒนาผู้เรียนตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ เพราะที่ผ่านมากิจกรรมส่วนใหญ่เน้นในเรื่องศิลปะมากกว่าการพัฒนาทักษะอื่นๆ นั้น เราไม่ปฏิเสธความจริงแต่จะเอาจุดอ่อนนี้มาปรับปรุงแก้ไขและทำให้ดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามองตรงกัน และตนย้ำมาตั้งแต่ต้นให้เตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลัก 4 H ได้แก่ กิจกรรมพัฒนาสมอง (Head) พัฒนาจิตใจ (Heart) การลงมือปฏิบัติ (Hand) และ สุขภาพ(Health)โดยส่วนที่กังวลที่สุด คือ กิจกรรมพัฒนาสมอง อย่างไรก็ตามได้กำชับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ให้ไปทบทวนและแก้ไขแล้ว เพราะเรื่องนี้ถือเป็นจุดอ่อนของเด็กไทยที่พบมากที่สุด
"ใน 4 กิจกรรมผมกังวล คือ เรื่องการพัฒนาสมอง เพราะครูยังไม่เก่งที่จะคิดรูปแบบกิจกรรม แต่ในส่วนทักษะการลงมือปฏิบัติ การดูแลสุขภาพ การพัฒนาจิตใจเหล่านี้ครูเราทำได้ดี ดังนั้น กิจกรรมพัฒนาสมองจึงถือเป็นจุดอ่อนของทั้งหมด ซึ่งจากนี้ สพฐ.จะต้องทบทวนและคิดหาวิธีการที่จะอุดช่องว่างของปัญหานี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโรงเรียนที่จะเข้าร่วมนำร่องรุ่นต่อไป" พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวและว่า กิจกรรมที่คิดขึ้นใหม่ต้องน่าสนใจ ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ และที่สำคัญต้องไม่ทำให้เสียเงินทองด้วย เพราะที่ผ่านมาพบโรงเรียนบางแห่งไปจัดกิจกรรมที่ต้องจ่ายเงิน เช่น ซื้อโปรแกรม ทำโครงงาน เป็นต้น
ด้าน นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.จะจัดประชุมเพื่อนำกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ที่จัดในโรงเรียนนำร่องกว่า 3,800 โรง มาวิเคราะห์และพัฒนาเพื่อสร้างเมนูใหม่ สำหรับให้โรงเรียนที่จะเข้าโครงการในปีการศึกษาหน้า ทั้งโรงเรียนนำร่องเดิมและโรงเรียนที่จะขยายผลอีก 15,000 โรงได้ใช้ โดยยึดหลักว่ากิจกรรมนั้นจะต้องสร้างความตระหนักให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น ทำเป็น มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และมีความตระหนักเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ทั้งนี้ ยอมรับว่าการจัดกิจกรรมในหลายโรงเรียนที่ผ่านมามีการทุ่มเงินซื้อเทคโนโลยี หรือ มีค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น ซึ่งก็ต้องปรับกิจกรรมโดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากเกินไป.
ขอบคุณเนื้อหาและที่มาของข่าวจาก :: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์