โรงเรียนดังแจง! กรณีให้นักเรียนปักเกรดบนหน้าอกเสื้อ
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ ก- ก+
เป็นดราม่า! หลังจากเพจดังแชร์ภาพเสื้อนักเรียนรายหนึ่ง ของโรงเรียนนาเยียศึกษา รัชมังคลาภิเษก ที่มีเลขเกรดปักอยู่บนหน้าอกเสื้อ โดยผู้โพสต์ระบุว่า "บางครั้งโรงเรียนก็ทำให้นักเรียนเล็งเห็นความสำคัญของเกรด(มากเกินไป) ถึงกับต้องปักติดกับเสื้อนักเรียนเลยทีเดียว"ล่าสุด นายกำจัด กุลโชติ รองผู้อำนวยการโรงเรียนนาเยียศึกษา รัชมังคลาภิเษก อุบลราชธานี เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ว่า การปักเกรดที่หน้าอกเสื้อนักเรียนนั้น ตนเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 ที่โรงเรียนเหล่างามพิทยาคม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีที่มาจากเด็กนักเรียนมีเกรดต่ำจำนวนมาก จึงเสริมแรงจูงใจโดยการให้เด็กตั้งใจเรียน ถ้าพบว่าเทอมถัดมาเกรดพัฒนาขึ้น หากเป็นนักเรียนชายสามารถไว้ผมรองทรงได้เลย และนักเรียนหญิงก็สามารถไว้ผมยาวได้เช่นกันแต่ต้องรวบให้เรียบร้อย ผลปรากฎว่าทั้งโรงเรียน มีนักเรียนที่เกรดพัฒนาขึ้นเป็นจำนวนมาก
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2556 ได้ย้ายมาเป็นรองผู้อำนวยการฯ โรงเรียนนาเยียศึกษา รัชมังคลาภิเษก และพบว่าโรงเรียนไม่ผ่านการประเมินจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ซึ่งตนมองเห็นแล้วว่าจะเป็นปัญหาแน่ๆ เพราะอาจกระทบต่อเด็กกู้ยืมเงินเรียน จึงนำมาตรการปักเกรดหน้าอกมาใช้จูงใจเด็กทางอ้อม ซึ่งต้องบอกก่อนว่าแม้จะมีกฎให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตั้งแต่ปี 56 แต่ตอนตนย้ายเข้ามาครูอาจารย์ที่นี่ยังคุมทรงผมอยู่ ตนจึงใช้แรงจูงใจแบบที่เคยทำมาปรับใช้ที่นี่ ผลปรากฎว่าปีที่ผ่านมา โรงเรียนได้รับให้ผ่านการประเมินจาก สมศ. รวมถึงนักเรียนก็มีผลการเรียนดีขึ้นเกินครึ่ง จากนักเรียนทั้งโรงเรียนกว่า 700 คน ถามว่าบังคับปักเกรดไหม ตนตอบเลยว่าไม่ แต่ถ้าตรวจพบว่าผมยาว และไม่มีเกรดปักจะถูกเรียกตรวจทรงผม และขอย้ำอีกครั้งว่า คนที่มีเกรดต่ำ ก็สามารถไว้ผมยาวได้เช่นกัน ถ้าหากว่าเกรดพัฒนาขึ้นอย่างน้อยเทอมละ 0.30
เมื่อถามว่าผลตอบรับจากเรียนเป็นอย่างไร ครูกำจัดเปิดเผยว่า ตอนตนอยู่โรงเรียนเหล่างามพิทยาคม ทางโรงเรียนมีโจทย์ให้นักเรียนตอบว่า หากน้ำท่วมโลก และมีเรือหนึ่งลำ พาครูไปได้แค่ 5 คน นักเรียนจะโหวตให้ครูคนไหนไปบ้าง ซึ่งตนได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนภาพที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ เป็นของนักเรียนชั้น ม.3 ที่เพิ่งจบไป และผู้นำมาโพสต์ก็เป็นศิษย์เก่าของที่นี่ แต่จบออกไปก่อนตนย้ายเข้ามา จึงอาจไม่ทราบถึงที่มาดังกล่าว
ที่มาของข่าว : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 19:31 น.