กยศ.ยันเกรดไม่ถึง2.00 อดกู้
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
กยศ.ยันเกรดไม่ถึง2.00 อดกู้
“ฑิตติมา”แจงบอร์ด กยศ.ยังไม่อนุโลมให้ผู้กู้ยืมรายเก่าที่มีเกรดเฉลี่ยไม่ถึง 2.00 แต่ไม่ต่ำกว่า 1.75 มีสิทธิกู้ต่อ ชี้เรียนมหา'ลัย หากเกรดไม่ถึง 2.00 ก็ไม่จบอยู่แล้ว เตรียมชงบอร์ด กยศ.หามาตรการเยียวยา
วันนี้ (12 มี.ค.) น.ส.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารกยศ. มีมติปรับหลักเกณฑ์การกู้ยืมใหม่ โดยกำหนดให้ผู้กู้ยืมทั้งรายเก่าและรายใหม่ ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00 โดยจะเริ่มในปีการศึกษา 2558นั้น ตนขอยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมติดังกล่าว และไม่มีการอนุโลมให้ผู้กู้ยืมรายเก่าที่มีเกรดเฉลี่ยไม่ถึง 2.00 แต่ไม่ต่ำกว่า 1.75 มีสิทธิกู้ยืมต่อไปอีก 1 ปี อีกทั้งในการประชุมคณะกรรมการบริหาร กยศ. ก็ไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตามการที่ กยศ. ปรับหลักเกณฑ์การกู้ยืมใหม่ขึ้นมานั้น เป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต้องการให้กยศ. ปล่อยกู้ให้ยาก จ่ายคืนให้ง่ายขึ้น ดังนั้นการปล่อยกู้จะต้องดูความจำเป็น ไม่ใช่ให้กู้ง่าย แต่เด็กเรียนไม่จบ หางานทำไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่มีเงินใช้หนี้กลายเป็นความสูญเสีย
“ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่า หลักเกณฑ์ใหม่จะไม่เป็นธรรมกับผู้กู้ยืมรายเก่านั้น เร็วๆ นี้ กยศ. จะเสนอมาตรการเยียวยาผู้กู้ยืมรายเก่าที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำกว่า 2.00 ซึ่งเท่าที่ดูภาพรวมแล้วมีไม่ถึง 10% ของจำนวนผู้กู้ยืมทั้งระบบ ส่วนมาตรการเยียวยาจะเป็นอย่างไร คงต้องรอให้บอร์ด กยศ. เป็นผู้พิจารณา อย่างไรก็ตามส่วนตัวเห็นว่า เด็กทุกคนควรตั้งใจเรียน เพื่อแสดงถึงความมีวินัย และความรับผิดชอบ ซึ่งเกรดเฉลี่ย 2.00 ที่ กยศ. กำหนดก็ไม่ได้มากเกินไปเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ หากเด็กที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้วได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึง 2.00 ก็จะไม่จบการศึกษา ยิ่งเป็นผู้กู้กยศ. ที่ใช้เงินรัฐบาลในการศึกษา ก็ยิ่งต้องมีวินัยและมีความรับผิดชอบ” น.ส.ฑิตติมา กล่าว
ผู้จัดการ กยศ. กล่าวต่อไปว่า จากการดำเนินโครงการรณรงค์ชำระหนี้ ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2557 – 30 เมษายน 2558 โดยลดเบี้ยปรับ 50-100% และลดเงินต้น 3% เพื่อจูงใจผู้กู้ยืมให้มาชำระหนี้ให้เป็นปกติ หรือมาชำระหนี้ปิดบัญชีนั้น ปรากฎว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี มีผู้มาชำระหนี้มากกว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มียอดชำระหนี้แล้ว ประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้ปกครอง และผู้กู้ยืมเข้าใจแล้วว่า เมื่อกู้แล้วต้องชำระคืน ไม่เช่นนั้นอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดี และต่อไปจะมีการนำข้อมูลผู้กู้ทั้งรายเก่า และรายใหม่ที่ไม่ชำระหนี้ไปอยู่ในระบบของศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือเครดิตบูโรด้วย.
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 12 มีนาคม 2558