ศธ.เพิ่มชั่วโมงเรียนพละ 2 ชม.ต่อสัปดาห์
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
ศธ.เพิ่มชั่วโมงเรียนพละ 2 ชม.ต่อสัปดาห์
"ณรงค์"เผยผลหารือ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เพิ่มชั่วโมงเรียนพละ 2ชม.ต่อสัปดาห์ เพื่่อเด็กสุขภาพแข็งแรงเริ่มภาคเรียนที่ 2/2557 ปลดล็อคจบ ปวส.เป็นมัคคุเทศก์ได้
วันนี้ (16 ก.ย.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ เปิดภายหลังการประชุมร่วมกับ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ว่า วันนี้ทั้ง 2 กระทรวงได้หารือถึงการเพิ่มช่วงโมงเรียนวิชาพลศึกษาในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากเดิม 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็น 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าวิชาพลศึกษาจะช่วยส่งเสริมสมรรถนะร่างกายของเด็กให้เติบโตแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รับที่จะไปปรับภาพรวมหลักสูตรในการลดชั่วโมงเรียนวิชาอื่นๆลง ส่วนกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) จะรับหน้าที่จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็ว จัดอบรมครูที่ไม่ได้จบสายพลศึกษาโดยตรงให้ได้เรียนรู้เทคนิคเบื้องต้นในการดูแลเด็กระหว่างการเล่นกีฬาให้ปลอดภัย เพราะทราบดีว่าโรงเรียนบางโรงยังขาดครูสายนี้อยู่เป็นจำนวนมาก
“ เราจะไม่เพิ่มภาระให้เด็กต้องเรียนมากเกินไป แต่จะไปศึกษาภาพรรวมของหลักสูตรทั้งหมด ว่า มีวิชาไหนที่เรียนหนักเกินไปก็อาจให้ปรับลดชั่วโมงเรียนลงได้ โดยผมเชื่อว่าการมีกิจกรรมกีฬาจะช่วยให้เด็กเกิดความสามัคคีปรองดอง โดยจะเริ่มเพิ่มชั่วโมงเรียนพลศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 ทันที ” รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือถึง พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ที่กำหนดให้ผู้จบปริญญาตรีมาเป็นมัคคุเทศก์ได้ ซึ่งที่ประชุมเสนอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แก้ข้อกฎหมายดังกล่าว เพื่อปลดล็อคให้ผู้จบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) มาเป็นมัคคุเทศก์ได้ เนื่องจากเห็นว่าอาชีพมัคคุเทศก์ไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิการศึกษาสูง แต่ขอให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์สามารถสื่อสารได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ด้านนางกอบกาญจน์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนเป็นมัคคุเทศก์กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวน 50,000 คน แต่ทำงานจริงเพียง 10,000 คน ซึ่งถือว่ายังขาดแคลนอาชีพมัคคุเทศก์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่สามารถสื่อสารภาษาที่สาม เช่น ภาษาจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน และรัสเซีย เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าการปลดล็อคกฎหมายจะช่วยเติมเต็มในเรื่องนี้ได้.
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 16 กันยายน 2557