คลังเร่งขึ้นเงินเดือนขรก.ผู้น้อย
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
ปลัดคลังเร่งหารือกรมบัญชีกลาง พิจารณาแนวทางปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี เงินเดือนไม่เกิน 9 พันบาทสนองนโยบาย คสช. มั่นใจได้ข้อสรุปภายในต้นปีงบประมาณ 2558 แน่นอน ประธาน กกร.ชี้มีความเหมาะสม อาจกระทบต่อราคาสินค้าและเงินเฟ้อสูงขึ้นแต่จะไม่มาก
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า ได้เตรียมหารือกับกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ง คสช. ต้องการปรับขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ซึ่งมีเงินเดือนไม่เกิน 9 พันบาท โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสรุปและเร่งดำเนินการตามนโยบายของ คสช.ได้ทันต้นปีงบประมาณ 2558 (ต.ค. 57)
ปลัดกระทรวงการคลังกล่าวว่า สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ปรับขึ้นเงินเดือนยังไม่สามารถสรุปได้ ขึ้นอยู่กับอัตราเงินเดือนที่ปรับเพิ่มขึ้น และที่ผ่านมารัฐบาลเคยปรับเงินเดือนข้าราชการระดับวุฒิการศึกษาปริญญาตรีเป็น 15,000 บาทมาแล้ว โดยใช้เงินงบประเมินเพิ่มปีละ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่มาก
"ข้าราชการปริญญาตรีที่ได้ขั้นต่ำเดือนละ 15,000 บาท ไม่ควรปรับเพิ่มขึ้นอีกแล้ว เพราะพิจารณาแล้วว่า เงินเดือนในระดับดังกล่าวเพียงพอต่อการดำรงชีวิตประชำวัน แต่ข้าราชการที่มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีที่มีเงินเดือนไม่ถึง 9 พันบาท ควรปรับเพิ่มให้ ซึ่งในส่วนนี้คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะว่างบประมาณปี 2558 ยังสามารถปรับแก้ไขเพิ่มเติมได้อีก แต่ถึงแม้จะปรับแก้ไม่ได้แล้ว ก็สามารถดึงเงินงบกลางมารองรับได้" นายรังสรรค์กล่าว
ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า พร้อมที่จะดำเนินการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการตามนโยบายของ คสช. ซึ่งคาดว่าจะเป็นการปรับฐานเงินเดือนให้เพิ่มมากขึ้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับ คสช.ว่าต้องการให้ปรับฐานเงินเดือนเป็นเท่าใด โดยที่ผ่านมาข้าราชการจะได้ปรับเงินเดือนขึ้นทุกปี ปีละไม่เกิน 6% ซึ่งก็ยังไม่ทันกับค่าครองชีพตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับเพิ่มขึ้น
"ปัจจุบันมีข้าราชการประมาณ 1.77 ล้านคน ลูกจ้างประจำ 1.5 แสนคน ปีงบประมาณ 2557 มีค่าใช้จ่ายเงินเดือนค่าจ้างทั้งหมดประมาณ 6 แสนล้านบาท" นายมนัส กล่าว
นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.รอดูการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ ก่อนที่จะมาพิจารณาว่าจะปรับขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจหรือไม่ ซึ่งขณะนี้รัฐวิสาหกิจมีเงินเดือนที่สูงกว่าข้าราชการ
ทางด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า นโยบายการปรับขึ้นเงินเดือนและสวัสดิการข้าราชการในส่วนของ กกร.มองว่า ที่ผ่านมาข้าราชการไทยมีเงินเดือนค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับความรู้ความสามารถ ดังนั้น เชื่อว่าการปรับขึ้นเงินเดือนมีความเหมาะสม แต่อาจส่งผลต่อราคาสินค้า และทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่มาก เพราะปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ร้อนแรง อัตราเงินเฟ้อจึงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
ส่วนกรณีที่ตัวแทน กกร.ได้เข้าร่วมเป็น สนช.นั้น ถือเป็นโอกาสที่ดี แม้จะมีสัดส่วนของภาคเอกชนที่น้อย แต่เชื่อว่าจะสามารถโน้มน้าว ทำให้กฎหมายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญและเป็นอุปสรรคต่อประเทศขับเคลื่อนไปได้ โดยกฎหมายที่สมาคมธนาคารไทยพยายามผลักดัน อาทิ กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจที่ผลักดันมากว่า 17 ปี, กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม กกร.ไม่ได้ดูเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรภาคเอกชนเท่านั้น แต่จะสนับสนุนกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในภาครวมด้วย
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเป็น สนช. ทาง ส.อ.ท.จะเสนอให้พิจารณาการปรับปรุงกฎหมายศุลกากร ภาษีซ้ำซ้อนที่เกิดขึ้นจากการลงทุนต่างประเทศ รวมทั้งขอให้ยกเลิกการเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพราะปัจจุบันมีการจ่ายภาษีส่วนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้น ส่วนนี้จึงเป็นความซ้ำซ้อนที่อยากให้พิจารณา
สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่นั้น หากปรากฏชื่อเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ก็ถือเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม เพราะเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว พยายามผลักดันการแก้ไขปัญหาและเปิดรับฟังความคิดเห็น
"ด้านนโยบายการปรับขึ้นเงินเดือนและสวัสดิการข้าราชการ มีความเห็นว่าสมควรปรับขึ้น เพราะปัจจุบันข้าราชการชั้นผู้น้อยได้รับเงินเดือนค่อนข้างต่ำ อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาทต่อเดือน ทำให้ไม่สามารถประคับประคองการดำรงชีพได้ และอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งนี้ ในส่วนของภาคเอกชนได้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงเชื่อว่าจะไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างใดๆ อีก" นายสุพันธุ์กล่าว
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า กรณีที่กรมสรรพากรมีแนวคิดจะใช้อำนาจกรมฯ ในการตรวจสอบบริษัทที่หลีกเลี่ยงภาษีนั้น มองว่าต้องการให้ระบบการจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพ แต่ในภาพรวมอยากให้มีการยกเครื่องทั้งระบบมากกว่า นั่นคืออยากให้เข้าไปตรวจสอบกลุ่มผู้ตรวจสอบบัญชีด้วย เพราะมีบางส่วนที่เป็นสาเหตุในการแนะนำช่วยเหลือบริษัทให้หลีกเลี่ยงกฎหมาย นอกจากนี้ อยากให้แก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันภายในกรมฯ ด้วยเพราะเป็นสิ่งสำคัญ.
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 5 สิงหาคม 2557