LASTEST NEWS

29 พ.ย. 2567โรงเรียนชลกันยานุกูล ประกาศปิดกรณีพิเศษ หยุดเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2-3 ม.ค.68 มีผลหยุดยาว 9 วัน ตั้งแต่ 28 ธ.ค. 67 - 5 ม.ค.68 29 พ.ย. 2567โรงเรียนไพศาลีพิทยา รับสมัครครูอัตราจ้าง 2 อัตรา เงินเดือน 10,000.- บาท สมัครตั้งแต่บัดนี้ - 6 ธันวาคม 2567 28 พ.ย. 2567วิทยาลัยสารพัดช่างตราด รับสมัครพนักงานราชการครู จำนวน 1 อัตรา ตั้งแต่ 19 - 27 ธันวาคม 2567 28 พ.ย. 2567วิทยาลัยเทคนิคเลย รับสมัครพนักงานราชการครู จำนวน 1 อัตรา ตั้งแต่ 6 - 16 ธันวาคม 2567 28 พ.ย. 2567โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน รับสมัครครูอัตราจ้าง เงินเดือน 15,000.-บาท ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. - 1 ธ.ค.2567 28 พ.ย. 2567โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม รับสมัครครูอัตราจ้าง 2 อัตรา เงินเดือน 10,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 2-4 ธันวาคม 2567 27 พ.ย. 2567สพฐ.มีหนังสือ ด่วนที่สุด! ให้นำแนวทาง PISA มาใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และการสรรหาบุคลากร ทุกตำแหน่ง 27 พ.ย. 2567บอร์ดก.ค.ศ.เคาะร่างแนวปฏิบัติการย้ายครู ผ่านระบบ TRS เตรียมเปิดใช้งาน มกราคม 2568 27 พ.ย. 2567โรงเรียนแคมป์สนวิทยาคม รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกภาษาจีน เงินเดือน 12,000.-บาท ตั้งแต่บัดนี้ - 1 ธันวาคม 2567 27 พ.ย. 2567ด่วนที่สุด!! ที่ ศธ 04009/ว7543 เรื่อง การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

การศึกษาเพื่อการมีงานทำ (เท่านั้นเองหรือ)

  • 23 ก.ย. 2556 เวลา 11:11 น.
  • 2,541
การศึกษาเพื่อการมีงานทำ (เท่านั้นเองหรือ)

นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ LINE it! - +

การศึกษาเพื่อการมีงานทำ (เท่านั้นเองหรือ)
 
ความสามารถในการได้รับการจ้างงาน (Employability) กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการจัดการศึกษาในยุคหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมาประกอบกับระบบทุนนิยมที่ให้ความสำคัญกับสังคมที่ยึดถือการทำงานเป็นสำคัญ (Work-OrientedSociety) ทำให้การศึกษาสนองความต้องการของสังคมและของบุคคลโดยการทำให้คนมีงานทำตามความต้องการทั้งของสังคมและของบุคลากรศึกษาเพื่อเตรียมคนเข้าสู่โลกของงานเรียกว่า “อาชีพศึกษา” (CareerEducation) จึงเป็นรูปแบบของการจัดการศึกษาของหลายประเทศทั่วโลก
 
“อาชีพศึกษา” เป็นการรวมเอาความคิด 2 ประการเข้าด้วยกัน ประการหนึ่งใช้รูปแบบ “การมีงานทำ” (Occupational Model) เป็นตัวกระตุ้น อีกประการหนึ่งจะใช้รูปแบบ “การเตรียมคนเข้าสู่โลกของงาน” (Career Model) การใช้รูปแบบ “การมีงานทำ” นั้นจะใช้ผู้เรียนเป็นผู้ได้รับการฝึกทักษะที่สอดคล้องกับงานหรืออาชีพที่จะปฏิบัติงานส่วนรูปแบบ “การเตรียมคนเข้าสู่โลกของงาน” จะใช้ระบบการศึกษาที่มีอยู่ให้การศึกษาแก่ผู้เรียนในวิธีและรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ในแต่ละช่วงของจุดสิ้นสุดขั้นการเรียนในแต่ละระดับ
 
จะเห็นได้ว่ารูปแบบ “การเตรียมคนเข้าสู่โลกของงาน” หรือ Career Model นั้น จะกว้างกว่ารูปแบบ “การมีงานทำ” หรือ Occupational Model ซึ่งไม่เน้นเฉพาะทักษะที่จะทำงานเท่านั้น แต่จะรวมถึงเจตคติ ความรู้ และความคิดของตนเองที่สร้างให้เกิดกระบวนการตัดสินใจโดย Career Model นี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเอง และดำเนินแผนการเรียนซึ่งแต่ละคนจะเป็นผู้กำหนดซึ่ง Model นี้ไม่ใช้เฉพาะผู้เรียนในวัยมัธยมศึกษาแต่จะใช้กับทุกคนที่เป็นผู้เรียนโดยไม่จำกัดด้วยอายุและจะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนได้สามารถค้นพบจุดมุ่งหมายของตนเองในการทำงานและเลือกงาน
 
สถานศึกษาส่วนมากที่มีอยู่ขณะนี้ใช้หลักสูตรเนื้อหาวิชาเป็นหลัก (Subject-Centered Curriculum) ขอบเขตและลำดับขั้นของทักษะต่าง ๆ ได้บรรจุไว้ในรายวิชาของแต่ละสาขาวิชาในแต่ละหลักสูตรและผู้เรียนก็เรียนตามลำดับที่จัดไว้ การประเมินความสำเร็จในแต่ละระดับการศึกษาไม่อาจจะประมาณได้ชัดเจนว่าแตกต่างกันอย่างไรในภาวะของความสามารถในการได้รับการจ้างงาน(Employability) เช่น ระดับ ปวช. สาขาบัญชี กับ ระดับ ปวส.สาขาบัญชี ซึ่งเป็นหลักสูตรประเภทเนื้อหาวิชาเป็นหลัก เป็นต้น
 
“อาชีพศึกษา” (Career Education) นั้นสามารถกำหนดเป็นขั้นต่าง ๆ พอสังเขปได้ดังนี้
 
1. ขั้น Career Awareness เรียกว่าเป็นขั้นตระหนักในอาชีพเป็นการสร้างเจตคติและค่านิยมของการทำงานให้ตระหนักถึงคุณค่าของอาชีพที่มีต่อการดำรงชีวิตโดยเรียนรู้จากระบบโรงเรียน และประสบการณ์ที่ได้รับจากบ้านและชุมชนการศึกษานี้จะเรียนในชั้นประถม 1-6 โดยยังไม่ให้รายละเอียดของงานมากนักจะกล่าวถึงงานและอาชีพโดยส่วนรวมเป็นการสร้างความคิดเกี่ยวกับโลกของงานและอาชีพเท่านั้น (World of Work)
 
2. ขั้น Career Orientation เรียกว่าเป็นขั้นสร้างพื้นฐานอาชีพให้ผู้เรียนได้รู้จักกลุ่มของอาชีพ (OccupationalClusters) ที่มีอยู่ในสังคมและเริ่มต้นในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นโดยคาบเกี่ยวกับประถมตอนปลายโดยเริ่มจาก ป.6 ไปจนถึง ม.2 เป็นการสอนให้ผู้เรียนได้รู้จักอาชีพในกลุ่มต่าง ๆ เพื่อหาอาชีพที่ตนเองชอบและสนใจที่จะมีชีวิตและทำงานในอาชีพนั้น
 
3. ขั้น Career Exploration เรียกว่าเป็นขั้นสร้างอาชีพที่ต้องการ อยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นคาบเกี่ยวกับมัธยมศึกษาตอนปลายตั้งแต่ ม.2-4 ในระดับนี้จะเป็นการเสริมสร้างอาชีพที่ผู้เรียนแต่ละคนสนใจในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ (Occupational Group within Clusters) ผู้เรียนจะรู้ว่าตนเองสนใจและต้องการจะมีอาชีพในกลุ่มใด
 
4. ขั้น Career Preparation เป็นขั้นเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพซึ่งจะอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นต้นไปเริ่มตั้งแต่ ม.4 จนถึงจบมหาวิทยาลัย โดยแยกระดับของความต้องการในการประกอบอาชีพถ้าผู้เรียนต้องการเป็นช่างฝีมือก็จะเข้าสู่โปรแกรมการฝึกอาชีพเป็นช่างฝีมือถ้าต้องการเป็นผู้มีวิชาชีพชั้นสูงก็เรียนต่อในสถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยต่อไป
 
นอกจากนี้ การศึกษานอกระบบยังได้มีการส่งเสริมและดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาในโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงการฝึกอาชีพในส่วนของผู้เรียนนั้นต้องการให้ผู้เรียนสามารถรู้จักตนเองและเลือกอาชีพได้อย่างถูกต้องในโลกของงานกระบวนการแนะแนวอาชีพต้องจัดให้มีขึ้นเพื่อมุ่งให้ผู้เรียนสามารถรู้จักตนเอง (Know Yourself) แล้วทำการสำรวจสิ่งที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับตนเอง (Explore Possibilities) จากนั้นก็จะสามารถหาทิศทางที่เหมาะสมสำหรับตนเอง (Set Directions) และดำเนินการเข้ารับการฝึกอาชีพหรือเรียนในสิ่งที่เหมาะสมกับตน (Take Action)
 
การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการศึกษาเพื่อการพัฒนานั้นเป็นการนำความรู้ ความคิด มาสู่การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัตินั้นต้องมีการรับรองอย่างเป็นรูปธรรม การตราพระราชบัญญัติเป็นการนำความคิด ความรู้มาสู่การปฏิบัติที่มีผลในการบังคับใช้ และการอาชีวศึกษาของประเทศไทยได้พัฒนามาถึงระดับของการมีพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 นับเป็นพัฒนาการมาถึงขั้นสูงมาก เนื่องจากการได้มีพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายที่ประกาศใช้แล้ว เป็นผลมาจากการรวบรวมความรู้ ความคิด หลักการ ทฤษฎีและปรัชญาด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาสู่การปฏิบัติที่มีบทบังคับให้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด จึงถือเป็นบทสรุปที่เป็นข้อยุติทางด้านความคิดที่มีต่อกระบวนการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอาชีพได้ระดับหนึ่ง
 
ดังนั้น การศึกษาเพื่อการมีงานทำจึงมีแนวทางการดำเนินงานตามหลักการและกระบวนการของพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษาส่วนการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์หรือ พัฒนาสังคม ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมคิดค้นวิทยาการต่าง ๆ เพื่อการชี้นำทางสังคม สร้างความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติให้มีความร่มเย็นเป็นสุข มหาวิทยาลัยควรหันกลับมาให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าการจัดการศึกษาที่มุ่งให้ผู้จบการศึกษามีงานทำ หรือมีความสามารถได้รับการจ้างงานเท่านั้น
 
โดย: รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณณงค์
 
 
  • 23 ก.ย. 2556 เวลา 11:11 น.
  • 2,541

TAGS ที่เกี่ยวข้อง >>

ความคิดเห็นเกี่ยวกับ : การศึกษาเพื่อการมีงานทำ (เท่านั้นเองหรือ)

เงื่อนไข การร่วมแสดงความคิดเห็น!

ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป

ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้

^