07 ธ.ค. 2568สพป.อุดรธานี เขต 3 รับสมัครพนักงานราชการครู 8 อัตรา เงินเดือน 21,780 บาท 06 ธ.ค. 2568สพป.นครราชสีมา เขต 4 รับสมัครพนักงานราชการครู 10 อัตรา เงินเดือน 21,780 บาท 05 ธ.ค. 2568โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกภาษาอังกฤษ เงินเดือน 10,000 บาท 05 ธ.ค. 2568กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) รับสมัครเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป เงินเดือน 18,750 บาท วุฒิ ป.ตรี ทุกสาขา สมัครทางอีเมลได้ ถึง 17 ธ.ค. 68 04 ธ.ค. 2568วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ รับสมัครลูกจ้างชั่วคราว 3 อัตรา (งานบริหาร/ประชาสัมพันธ์/ขับรถ) 04 ธ.ค. 2568สสวท. เปิดรับสมัครพนักงาน 8 อัตรา วุฒิ ป.ตรี-เอก เงินเดือนสูงสุด 37,000 บาท 03 ธ.ค. 2568รวมประกาศรับสมัครพนักงานราชการ (ครู/สายสนับสนุน) สังกัดอาชีวศึกษา หลายจังหวัดทั่วประเทศ 03 ธ.ค. 2568โรงเรียนกันตังพิทยากร รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกภาษาอังกฤษ เงินเดือน 11,920 บาท 03 ธ.ค. 2568โรงเรียนบ้านจอมบึง (วาปีพร้อมประชาศึกษา) รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกคอมพิวเตอร์ 03 ธ.ค. 2568สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ รับสมัครพนักงานราชการทั่วไป 5 อัตรา ตั้งแต่วันที่ 5–12 ธันวาคม 2568
ข่าวการศึกษา >
ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับ...มีวาระซ่อนเร้น โดย รัชชัยย์ ศรสุวรรณ

ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.....เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาและ สมัชชาเครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย (สคคท) ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ....ที่มีบุคคลเข้าชื่อกันเสนอมากกว่าหนึ่งหมื่นคน เสนอในนามกฎหมายภาคประชาชน เข้าสู่กระบวนการพิจารณา และร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ...ทั้งสองฉบับได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน โดยได้มีการหลอมรวมร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติทั้งสองฉบับเป็นฉบับเดียวเพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ....ฉบับที่เสนอไปนั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติฯที่มีต้นร่างมาจากร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ ร่างโดย คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ( กอปศ ) เป็นร่างกฎหมายที่องค์กรครูทั้งประเทศไม่ยอมรับและเคยตกไปแล้ว แต่ สคคท ก็ยอมรับร่างกฎหมายดังกล่าวโดยให้เหตุผลว่าให้ไปแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ นั้น ผมขอเรียนข้อสังเกต ดังนี้
๑. ร่างกฎหมายฉบับที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกฤษฎีกา นั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ในประเด็นที่สำคัญคือ
๑.๑ เปลี่ยนแปลงคำว่า “ผู้อำนวยการสถานศึกษา”เป็น “หัวหน้าสถานศึกษา”
๑.๒ เปลี่ยนแปลงคำว่า “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” เป็น “ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู”
๑.๓ ยกเลิกความสำคัญว่า “วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง”
๒. ปัจจุบันข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับเงินวิทยฐานะและเงินค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากเงินเดือนดังนี้
- วิทยฐานะชำนาญการพิเศษได้รับเงินวิทยฐานะ ๕,๖๐๐ บาท ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษ ๕,๖๐๐ บาท รวม ๑๑,๒๐๐ บาท
- วิทยฐานะเชี่ยวชาญได้รับเงินวิทยฐานะ ๙,๙๐๐ บาท ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษ ๙,๙๐๐ บาท รวม ๑๙,๘๐๐ บาท
๓. การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลทำให้ข้าราชการครูจะถูกตัดเงินวิทยฐานะเพราะ
๓.๑ พระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ มีสาระสำคัญว่า “อัตราเงินเดือน เงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่ง สำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท้ายพระราชบัญญัตินี้”
๓.๒ บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแนบท้ายพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ บัญญัติให้
- ครูชำนาญการพิเศษที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ได้รับเงินวิทยฐานะ ๕,๖๐๐ บาท
- ครูเชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ได้รับเงินวิทยฐานะ ๙,๙๐๐ บาท
- ผู้อำนวยการสถานศึกษาชำนาญการพิเศษที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ได้รับเงิน วิทยฐานะ ๕,๖๐๐ บาท
- ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ได้รับเงินวิทยฐานะ ๙,๙๐๐ บาท
๓.๓ ข้าราชการครูที่จะได้รับเงินวิทยฐานะตามข้อ ๓.๒ จะต้อง
- มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตามกฎหมายว่าด้วยสภาครู
- เป็นครู/เป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา/เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
- การมี “ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู” การเป็น “หัวหน้าสถานศึกษา” ไม่สามารถรับเงินวิทยฐานะได้เพราะเป็นเงื่อนไขที่ไม่มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗
- ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฯฉบับดังกล่าว ไม่มีการบัญญัติถึงเขตพื้นที่การศึกษา ดังนั้นตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จะไม่มีอีกต่อไป ผู้ที่ดำรงตำแหน่งตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จึงมีโอกาสที่จะถูกตัดเงินวิทยฐานะ
๓.๔ แม้มาตรา ๓๙ ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯฉบับดังกล่าวบัญญัติไว้ว่า “ให้หัวหน้าสถานศึกษา ผู้ช่วยหัวหน้าสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาของรัฐได้รับเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และค่าตอบแทนอื่นตามที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการนั้น” เมื่อพิจารณาจากมาตรานี้จะเห็นได้หากกฎหมายนี้ใช้บังคับไม่พบว่ามีหลักประกันอะไรที่ข้าราชการครูจะได้รับค่าวิทยฐานะเท่าเดิม ค่าตอบแทนเท่าเดิม หรือไม่อย่างไรและกฎหมายนี้จะออกมาเมื่อไรก็ไม่มีหลักประกันเรื่องเงื่อนเวลา
๓.๕ แม้มาตรา ๑๐๑ ของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับดังกล่าว บัญญัติว่า “ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษาซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ เป็นหัวหน้าสถานศึกษาและผู้ช่วยหัวหน้าสถานศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้แล้วแต่กรณีและมีสิทธิได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินวิทยฐานะและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามอัตราเดียวกับที่ผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษาได้รับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ” จากบทบัญญัติข้อนี้เห็นได้ว่าการรับประโยชน์ในอัตราเดียวกับที่เคยได้รับนั้นไปรับโดยอาศัยกฎหมายใด ที่สำคัญคือมาตรานี้คุ้มครองเฉพาะผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการเท่านั้น แต่ไม่คุ้มครองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและยังไม่คุ้มครองครูที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และครูที่ได้รับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษหรือวิทยฐานะเชี่ยวชาญหลังกฎหมายนี้ใช้บังคับ และยังรวมถึงผู้ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งรองผู้อำนวยการและผู้อำนวยการสถานศึกษาในอนาคตก็จะไม่ได้รับเงินวิทยฐานะ เพราะไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และชื่อตำแหน่งก็ไม่ใช่รองผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือผู้อำนวยการสถานศึกษา
๔. ข้อบ่งชี้ว่าร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯฉบับนี้มีเจตนาแอบแฝงในสิ่งที่น่าเชื่อว่ามีเจตนาลดค่าใช้จ่ายของรัฐด้วยการตัดเงินค่าวิทยฐานะของครูซึ่งเป็นข้าราชการกลุ่มใหญ่ของประเทศคือ
๔.๑ การเปลี่ยนแปลงชื่อต่างๆ นั้นไม่มีเหตุผลที่เพียงพอจนสมควรที่จะต้องเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงมิได้เป็นการแก้ปัญหาการศึกษาหรือทำให้การศึกษาดีขึ้นอย่างไร
๔.๒ ในการร่างพระราชบัญญัติ นั้นโดยหลักแล้วจะมี บันทึกหลักการเหตุผลเพื่อเป็นการแสดงขอบเขตและเจตนารมณ์ของกฎหมาย/ชื่อร่าง พ.ร.บ.เพื่อให้ทราบว่ามีเนื้อหาสาระที่จะใช้บังคับแก่เรื่องใด/ คำปรารภเพื่อทราบขอบเขตของพระราชบัญญัติ/ บทจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะบัญญัติไว้กว้างๆไม่เจาะลึกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯฉบับที่เป็นปัญหานี้ นั้น เขียนเหตุผลว่า “เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อให้การจัดการศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย จำเป็นต้องกำหนดให้ครูมีใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู.....” ในขณะที่ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล.....”
การที่ร่างพระราชบัญญัติฯฉบับดังกล่าวบัญญัติเรื่องใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู ไว้ในเหตุผลของการร่างกฎหมายนั้น น่าเชื่อว่ามีเจตนาหมกเม็ดให้มีคำสำคัญนี้ในเหตุผลการร่างกฎหมาย ซึ่งถ้ามีการรับหลักการแล้วก็ไม่สามารถไปแก้ไขในตัวบทได้เพราะจะเป็นการขัดเจตนารมณ์ของกฎหมายดังที่ได้บัญญัติไว้ในข้อ ๑๒๕ วรรคท้าย ของข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๖๒ บัญญัติว่า “...การแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น”
๕. ร่าง พ.ร.บ.นี้ยังมีปัญหาที่สำคัญอีกหลายประการเช่นการไม่มีบัญญัติถึง สพฐ. /ไม่มีบัญญัติถึงเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งย่อมหมายถึงว่าน่าจะมีการยุบหน่วยงานทั้งสองหน่วยงานนี้โดยที่มิได้ให้โอกาสครูได้มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์เหตุผลความจำเป็นว่าควรยุบหรือไม่/ มีการบัญญัติให้เอกชนสามารถใช้ทรัพยากรของรัฐในการจัดการศึกษาได้ กรณีนี้อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจพิจารณากระทำการทุจริตและจะทำให้เกิดกระบวนการให้มีการยุบโรงเรียนของรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเข้าใช้สถานที่ของรัฐในการประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชน อาจเรียกได้ว่าเป็นร่างกฎหมายที่ส่อไปในทางทุจริตเชิงนโยบาย
จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็น “ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับมีวาระซ่อนเร้น”




ขอบคุณเนื้อหาและที่มาของข่าวจาก :: เฟซบุ๊กดร.รัชชัยย์ ศรสุวรรณ