5 คำถามจาก(ร่าง)พรบ.การศึกษาแห่งชาติ: สัญญาณความถดถอยของการศึกษาไทย?
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ ก- ก+
#####๕ คำถามจาก(ร่าง)พรบ.การศึกษาแห่งชาติ: สัญญาณความถดถอยของการศึกษาไทย?รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ นพรัก
ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย
ประธานที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย
คณบดีวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา
๑.จากบทความจาก”ผู้อำนวยการ” สู่ตำแหน่ง “หัวหน้าสถานศึกษา” เปลี่ยนแปลงเพื่ออะไร? ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริหาร โพสต์เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๔ มีผู้แชร์ ๒๓๕ ครั้ง
๒.จากบทความ ๕ คำถาม จาก”ใบอนุญาต” สู่ “ใบรับรอง” หรือความหมายจะวิบัติในกฎหมายการศึกษา? ที่ส่งผลกระทบต่อครู โพสต์เมื่อวันที่ “๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ มีผู้แชร์ ๒๐๗ ครั้ง
จากจำนวนครั้งของการแชร์สองบทความข้างต้น แสดงว่ามีผู้สนใจ(ร่าง)พระราชบัญญัติการศึกษา จำนวนพอสมควร.
วันนี้ จึงขอเขียนบทความ มาตราที่ส่งผลกระทบต่อสภาวิชาชีพครูคือ”คุรุสภา” และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.)
##อะไรคือข้อกำหนดที่ ละเมิดกฎหมายและลดศักดิ์ศรีของสภาวิชาชีพครูคือ”คุรุสภา”?
(ร่าง) มาตรา ๑๐๐”วรรคสอง “ครูซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่และยังไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มีสิทธิขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตามกฎหมายดังกล่าว หรือจะขอใบรับรองการประกอบวิชาชีพครูความเป็นครูตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
###กฎหมายมาตรา ๑๐๐ วรรคสองข้างต้น เสมือนกับเป็น”กฎหมายอภัยโทษ” ให้ครูที่ไม่มีคุณสมบัติตาม”พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖”โดย ให้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูโดยอัตโนมัติ เป็นการออกกฎหมายที่ละเมิดกฎหมายอื่น ที่มีศักดิ์เป็น”พระราชบัญญัติ”เท่าเทียมกัน ที่สำคัญคือ”การออกกฎหมายเยี่ยงนี้ สามารถกระทำได้หรือไม่? การออกกฎหมายที่ทำให้คนที่ทำผืดกฎหมายกลายเป็นคนที่ทำถูกกฎหมาย และบุคคลกลุ่มใดได้ผลประโยชน์?
ภายใต้บังคับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ การกําหนดมาตรฐานความเป็นครู การออก การพักใช้ และการเพิกถอนใบรับรองการประกอบวิชาชีพครูความเป็นครู และการปฏิบัติตาม มาตรฐานและจรรยาบรรณของความเป็นครูให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่คุรุสภาต้องนําผล การศึกษาวิจัยตามมาตรา ๓๖ มาเป็นเงื่อนไขส่วนหนึ่งในการออกใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู ความเป็นครู
#ผลการศึกษาวิจัยตามมาตรา ๓๖ มาจากไหน?
(ร่าง) มาตรา ๓๖ ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายและสํานักงานกองทุน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาร่วมกันจัดให้มีการศึกษาและวิจัยหาต้นแบบ กระบวนการ และวิธีการที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนในการผลิตครู ที่สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๒) (๓) (๔) (๕) และ (๖) รวมตลอดทั้งวิธีการในการพัฒนาศักยภาพครูให้สูงขึ้นและทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายตามมาตรา ๘ ได้
ความในวรรคหนึ่งไม่เป็นการตัดอํานาจหรือสิทธิของสถาบันอุดมศึกษาในการศึกษา และวิจัยตามหน้าที่ของตน
###ทำไมจึงเป็นการ”ลดศักดิ์ศรีคุรุสภา”หรือทำให้”คุรุสภาไร้ศักดิ์ศรี”?
เนื่องจากคุรุสภาเป็นสภาของวิชาชีพครู ควรที่จะต้องพัฒนาองค์กรวิชาชีพครูให้เข้มแข็งด้วยตนเอง โดยเฉพาะการพัฒนาการศึกษาด้วยงานวิจัย ที่สามารถจะใช้พลังของครูที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพไม่น้อยกว่าแปดแสนคน ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพขององค์กร และศักยภาพครูให้เข้มแข็งได้ แต่(ร่าง)กฎหมายฉบับนี้กลับกำหนดให้ต้องพึ่งพาคณะกรรมการนโยบายและสํานักงานกองทุน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งโดยนัยยะคือ “การวิจัยทางการศึกษาจะต้องเป็นอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการฯ”รวมทั้งงบประมาณด้วย
##๑.(ร่าง)พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.........
มาตรา ๔๐ ให้มีองค์กรของครู เรียกว่า “คุรุสภา” มีหน้าที่และอํานาจ ดังต่อไปนี้
(๑) ออกใบรับรองการประกอบวิชาชีพครูความเป็นครู
(๒) การพักใช้ และการเพิกถอนใบรับรองการประกอบวิชาชีพครูความเป็นครู
(๓) ดูแล ส่งเสริม ช่วยเหลือด้านสวัสดิการ และประโยชน์อื่นใด
(๔) รวมตลอดทั้ง การพัฒนาครูใหญ่หัวหน้าสถานศึกษา ผู้ช่วยครูใหญ่หัวหน้าสถานศึกษา และครู ให้สอดคล้องกับ มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ และ
(๕) หน้าที่อื่นที่จะยังประโยชน์ต่อครู
##๒.พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒”
มาตรา ๕๓ ให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา
(๑) มีฐานะเป็นองค์กรอิสระภายใต้การบริหารของสภาวิชาชีพ ในกำกับของกระทรวง
(๒) มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ
(๓) ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(๔) กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
(๕) รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา
(๖) ให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่นทั้งของรัฐและเอกชนต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามที่กฎหมายกำหนด
(๗) การจัดให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น
(๘) คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
###สรุป .(ร่าง)พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.........ยึดอำนาจและหน้าที่ของคุรุสภาไปจากกฎหมายฉบับเดิม คือ “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒” ดังต่อไปนี้
(๑) คุรุสภาไม่มีฐานะเป็นองค์กรอิสระอีกต่อไป
(๒) คุรุสภาไม่มีอำนาจและหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ อีกต่อไป
(๓) คุรุสภาไม่มีอำนาจและหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ อีกต่อไป
(๔) คุรุสภาไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการพัฒนาวิชาชีพ อีกต่อไป
(๕) คุรุสภาไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ อีกต่อไป และ
(๖) คุรุสภาไม่มีอำนาจและหน้าที่ในการออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น อีกต่อไป
(๑) มาตรา ๓๗ วรรคสาม “ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู ความเป็นครูให้ใช้ได้ตลอดไป แต่ครูต้องเข้ารับการ พัฒนาตามระยะเวลาที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการนั้น
สรุป ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูใช้ได้ตลอดชีพ ไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขการต่ออายุใบอนุญาตอีกต่อไป
หมายเหตุ ประเด็นนี้ครูอาจจะชอบ
มาตรา ๓๘ วรรคสอง ครูใหญ่หัวหน้าสถานศึกษานอกจากต้องเคยทําหน้าที่ครูมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปีและ ผู้ช่วยครูใหญ่หัวหน้าสถานศึกษามาแล้ว ต้องมีความรู้ด้านการบริหารศึกษา ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขที่กำหนดในกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของครู “แต่จะกําหนดเงื่อนไขให้ต้องได้รับใบอนุญาตมิได้”
สรุป หัวหน้าสถานศึกษา(ผู้บริหารสถานศึกษา) ไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา รวมทั้งผู้บริหารการศึกษา(ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา)ก็ไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษาด้วย
หมายเหตุ ประเด็นนี้ผู้เกี่ยวข้องอาจจะชอบ
มาตรา ๖๘ วรรคห้า ศึกษานิเทศก์ต้องแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเคยเป็นครูใหญ่หัวหน้าสถานศึกษา ผู้ช่วยครูใหญ่ หัวหน้าสถานศึกษา หรือครูมาแล้วตามระยะเวลา และตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่จะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องได้รับใบอนุญาตมิได้
สรุป ศึกษานิเทศก์ก็ไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพศึกษานิเทศก์ด้วย
หมายเหตุ ประเด็นนี้ศึกษานิเทศก์อาจจะชอบ
หมายเหตุ นอกจากยึดอำนาจจากคุรุสภาแล้ว(ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ..........” ฉบับนี้ ยังมีเจตนายุบเลิกการมี”องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู คือ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.)
โดยการไม่กำหนดให้มีหน่วยงานเช่นเดียวกับ “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒”ที่กำหนดในมาตรา ๕๔ “ให้มีองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งของหน่วยงานทางการศึกษาในระดับสถานศึกษาของรัฐ และระดับเขตพื้นที่การศึกษาเป็นข้าราชการในสังกัดองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูโดยยึดหลักการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลสู่เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด”
สิ่งที่(ร่าง)พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.......ควรกำหนดคือการสร้างความเข้มแข็งโดยออกกฎหมายให้ คุรุสภา”เป็นสภาวิชาชีพครูโดยแท้จริง” มิใช่เป็น”เป็นสภาของผู้ประกอบวิชาชีพครู” และยกระดับให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.)เป็นหน่วยงานหลัก แยกออกมาจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
#####ถ้าลดบทบาททั้งสองหน่วยงานลง การเข้าไปกำกับแทรกแซงก็ทำได้ง่ายขึ้น ผลประโยชน์ในด้านอำนาจบารมีและผลประโยชน์อื่นก็จะมีมากขึ้นด้วย
โดยสรุป(ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ..........ฉบับนี้ มีจุดเด่นสามประการ คือ
#หนึ่ง ลดความเข้มแข็งในการจัดการศึกษาของภาครัฐ
##สอง เอื้อประโยชน์ในการจัดการศึกษาของภาคเอกชน
###สาม สร้างเงื่อนไขในการบริหารจัดการการศึกษาของรัฐ โดยศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง
###รออ่านการวิเคราะห์(ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ......... มาตราอื่นๆครับ ถ้าสนใจ
รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ นพรัก
ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย
ประธานที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย
คณบดีวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา
รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ นพรัก
ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย
ประธานที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย
คณบดีวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา