07 ธ.ค. 2568เตรียมพร้อม! ประกาศผลสอบท้องถิ่น ภาค ก และ ภาค ข ปี 2568 รวมลิงก์เช็กรายชื่อผู้มีสิทธิสอบภาค ค ไว้ที่นี่ 07 ธ.ค. 2568สพป.อุดรธานี เขต 3 รับสมัครพนักงานราชการครู 8 อัตรา เงินเดือน 21,780 บาท 06 ธ.ค. 2568สพป.นครราชสีมา เขต 4 รับสมัครพนักงานราชการครู 10 อัตรา เงินเดือน 21,780 บาท 05 ธ.ค. 2568โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกภาษาอังกฤษ เงินเดือน 10,000 บาท 05 ธ.ค. 2568กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) รับสมัครเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป เงินเดือน 18,750 บาท วุฒิ ป.ตรี ทุกสาขา สมัครทางอีเมลได้ ถึง 17 ธ.ค. 68 04 ธ.ค. 2568วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ รับสมัครลูกจ้างชั่วคราว 3 อัตรา (งานบริหาร/ประชาสัมพันธ์/ขับรถ) 04 ธ.ค. 2568สสวท. เปิดรับสมัครพนักงาน 8 อัตรา วุฒิ ป.ตรี-เอก เงินเดือนสูงสุด 37,000 บาท 03 ธ.ค. 2568รวมประกาศรับสมัครพนักงานราชการ (ครู/สายสนับสนุน) สังกัดอาชีวศึกษา หลายจังหวัดทั่วประเทศ 03 ธ.ค. 2568โรงเรียนกันตังพิทยากร รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกภาษาอังกฤษ เงินเดือน 11,920 บาท 03 ธ.ค. 2568โรงเรียนบ้านจอมบึง (วาปีพร้อมประชาศึกษา) รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกคอมพิวเตอร์
ข่าวการศึกษา >
ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 8/2563

ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 8/2563 วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2563 โดยมีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้
1. เห็นชอบ กรอบการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง จากเดิม ก.ค.ศ. ได้กำหนดให้การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เป็นการพัฒนาผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด ซึ่งหลังจากที่ได้ประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการพัฒนาฯ นี้แล้ว พบว่าวิธีการพัฒนาในรูปแบบเดิมเน้นการบรรยายมากกว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง รวมถึงใช้ระยะเวลาการพัฒนาและงบประมาณค่อนข้างมาก ไม่ทันต่อความจำเป็นที่จะได้บุคลากรในตำแหน่งที่มีความสำคัญของหน่วยงานมาปฏิบัติงาน
เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่องของการศึกษายกกำลังสองสู่ความเป็นเลิศ และเป็นการพลิกโฉมการศึกษาไทย ก.ค.ศ. จึงได้กำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก ให้มีทักษะพื้นฐาน ได้แก่ ทักษะภาษาไทย ทักษะภาษาอังกฤษ และทักษะดิจิทัล และให้มีความพร้อมในทักษะที่จำเป็นและสมรรถนะที่เหมาะสมตามมาตรฐานตำแหน่งที่
ก.ค.ศ. กำหนด ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการพัฒนาก่อนการคัดเลือกแล้วจะเป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งได้ทันที โดยกรอบการพัฒนาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
กระบวนการที่ 1 Self Development (การพัฒนาตนเอง) ให้มีการเรียนรู้ทักษะภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ดิจิทัล และทักษะที่จำเป็นตามมาตรฐานตำแหน่งและสมรรถนะสำหรับตำแหน่ง ผ่านศูนย์ HCEC/DEEP หรือช่องทางอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด ให้ส่วนราชการส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยจัดเตรียมงบประมาณ อุปกรณ์ เครื่องมือ สถานที่และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงาน และรับรองวุฒิบัตรหรือใบรายงานผลการประเมิน
กระบวนการที่ 2 Screening (การคัดกรอง) ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถนำวุฒิบัตรหรือใบรายงานผลการประเมินไปใช้เป็นคุณสมบัติสำหรับการคัดเลือกเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งภายในระยะเวลาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด
กระบวนการที่ 3 Selection (การคัดเลือก) ให้ส่วนราชการ หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้งเป็นผู้ดำเนินการคัดเลือก เกณฑ์และวิธีการประเมินให้เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด ทั้งนี้ ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละส่วนราชการ ส่วนการกำหนดองค์ประกอบ ตัวชี้วัด ให้ส่วนราชการ หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง กำหนด
กระบวนการที่ 4 Probation (การประเมินสัมฤทธิผลฯ) ให้ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งได้รับการ Coaching and Mentoring จากผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์ และการฝึกปฏิบัติงานหรือการลงพื้นที่จริงเพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ มีเจตคติที่ดี คุณธรรม จริยธรรมที่เหมาะสมกับตำแหน่ง และมีกรรมการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด
2. เห็นชอบหลักการของ (ร่าง) เกณฑ์อัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สพฐ.
เนื่องจากสภาพปัญหาที่พบในปัจจุบัน โรงเรียนขนาดเล็กมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำลังของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไม่เพียงพอต่อการจัดการเรียนรู้ รวมถึงเกณฑ์ฯอัตรากำลังเดิม ได้ใช้จำนวนนักเรียนเป็นปัจจัยในการกำหนด ทำให้ไม่สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงเกณฑ์อัตรากำลังฯ ขึ้นใหม่ เพื่อให้โรงเรียนขนาดเล็กมีอัตรากำลังที่เหมาะสม สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงไปสู่การวางแผนผลิต สรรหา และพัฒนาครูในอนาคต รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการลดภาระงานธุรการของครู ซึ่งจะทำให้ครูมีเวลาในการจัดการเรียนการสอนได้เต็มที่ และเกิดประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณซึ่งเกณฑ์อัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สพฐ. ใหม่นี้ มีกรอบแนวคิดตามนโยบายยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก การบริหารอัตรากำลัง ที่คำนึงถึงมิติเชิงปริมาณและมิติเชิงคุณภาพ
มิติเชิงปริมาณ
1. โรงเรียนขนาดเล็กมีครูอย่างน้อย 4 คน (ครูประถมศึกษา ครูภาษาไทย ครูคณิตศาสตร์ และครูปฐมวัย หรือ ครูภาษาอังกฤษ)
2. ใช้ Work Load (ชม.สอน และ ชม.เรียน) เป็นปัจจัยการกำหนดอัตรากำลัง
3. มีอัตรากำลังบุคลากรสายสนับสนุนการศึกษาที่เหมาะสม
4. แผนพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพโรงเรียนขนาดเล็ก (ปี 2563 – 2565)
มิติเชิงคุณภาพ
1. ตอบโจทย์นโยบายการศึกษายกกำลังสอง
2. เด็กมีทักษะในการอ่าน เขียน (Literacy) และการคิดวิเคราะห์ (Numeracy)
3. ลดงานธุรการของครู / คืนครูสู่ห้องเรียน
4. เชื่อมโยงไปสู่การวางแผนผลิต สรรหา และพัฒนาครูในอนาคต และศูนย์ HECE
5. โรงเรียนขนาดเล็กมีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนสูงขึ้น
6. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
โดยที่ประชุมได้ให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ดำเนินการปรับรายละเอียดของ (ร่าง) เกณฑ์อัตรากำลังดังกล่าว ให้เกิดความครอบคลุม ตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง
3. เห็นชอบ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภททั่วไป เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ
เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ขออนุมัติกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการคัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภททั่วไป เป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ เพื่อเป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภททั่วไป ที่ปฏิบัติงานมาเป็นเวลานาน แต่ขาดความก้าวหน้าในการรับราชการและเพื่อประโยชน์ของทางราชการที่จะได้บุคคลที่มีประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ เหมาะสมกับตำแหน่ง และตรงกับความต้องการของหน่วยงานการศึกษา หรือส่วนราชการมาปฏิบัติงาน
ก.ค.ศ. เห็นว่าเพื่อเป็นการส่งเสริมความก้าวหน้าให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภททั่วไป และเพื่อประโยชน์ของทางราชการจึงเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตำแหน่งประเภททั่วไป เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ เพื่อใช้กับหน่วยงานการศึกษาและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยสรุปสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ได้ ดังนี้
1. ให้ กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง แล้วแต่กรณี เป็นผู้ดำเนินการคัดเลือก
2. ผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือกต้องเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ในหน่วยงานการศึกษาในสังกัดส่วนราชการนั้น
3. ผู้สมัครมีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือกได้เพียงตำแหน่งเดียวและหน่วยงานการศึกษาเดียว
4. ให้ส่วนราชการ หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้งแล้วแต่กรณี ดำเนินการกำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการคัดเลือก กำหนดสัดส่วนจำนวนตำแหน่งว่างเพื่อใช้ในการคัดเลือก
5. การคัดเลือก แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาค ก ความรู้ความสามารถทั่วไป ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง และภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่ง
6. ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนในแต่ละภาคไม่ต่ำกว่าร้อยละหกสิบ
7. ประกาศผลการคัดเลือกตามตำแหน่งว่างของแต่ละหน่วยงานการศึกษา หรือส่วนราชการ โดยเรียงตามประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกของแต่ละหน่วยงานการศึกษา หรือส่วนราชการ โดยเรียงลำดับจากผู้ได้คะแนนรวมทุกภาค จากมากไปหาน้อย
8. การบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งเรียกตามลำดับที่ให้ครบตามจำนวนตำแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัคร โดยไม่มีการขึ้นบัญชี สำหรับการให้ได้รับเงินเดือนให้ได้รับเงินเดือนเท่าเดิม
9. กรณีไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ได้ ให้เสนอ ก.ค.ศ. พิจารณา
4. อนุมัติให้แก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)
เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ขอแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. (ว 27/2555) ซึ่งเดิม กำหนดให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้ดำเนินการสอบ หรือรวมเขตพื้นที่การศึกษาในภูมิภาคเดียวกัน โดยระบุเขตพื้นที่การศึกษาแล้วมอบ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาใดเขตพื้นที่การศึกษาหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการสอบ ทั้ง 3 ภาค ประกอบกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 16/2560 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2560 กำหนดให้ ก.ค.ศ. เป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และในกรณีที่ ก.ค.ศ. เห็นสมควรจะมอบหมายให้ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ซึ่ง ก.ค.ศ. ตั้ง ส่วนราชการหรือหน่วยงานการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขัน โดย สพฐ. ได้ให้ความเห็นว่าเพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาขอกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นเอกภาพ พร้อมทั้งเกิดประโยชน์สูงสุด จึงขอแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าวโดยกำหนดให้ส่วนราชการต้นสังกัดเป็นผู้กำหนดวันเวลาการสอบแข่งขันเท่านั้น ส่วนการดำเนินการสอบแข่งขันมอบให้ กศจ. ดำเนินการ
ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นว่าเพื่อประโยชน์ของทางราชการจึงอนุมัติให้แก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข โดยในการนี้มอบให้ สพฐ. ซึ่งเป็นส่วนราชการต้นสังกัดเป็นผู้กำหนดนโยบายและดำเนินการสอบแข่งขัน รวมถึงการกำหนดวัน เวลาในการสอบแข่งขันและการเรียกผู้สอบแข่งขันได้มารายงานตัว ตลอดจนการดำเนินการจัดทำข้อสอบ ตรวจ ประมวลผลการสอบ กำหนดวิธีการสอบ การขึ้นบัญชี การยกเลิกบัญชี และการรับโอนผู้สอบแข่งขันได้เพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. (ว 27/2555)
5. เห็นชอบ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการนำบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีอื่น ตำแหน่งครูผู้ช่วย
ซึ่งเดิม ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย (ว 5/2561) โดยหลังจากการสอบคัดเลือกแล้วหากต้องการนำบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในในบัญชีหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีอื่นฯ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการนำบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีอื่น ตำแหน่งครูผู้ช่วย (ว 8/2561) และต่อมา ก.ค.ศ. ได้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย (ว 5/2561) และประกาศให้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย (ว 14/2563) แทน จึงต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการนำบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีอื่น ตำแหน่งครูผู้ช่วย ใหม่ เพื่อใช้แทนหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 8/2561 เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความคล่องตัวในการดำเนินการขอใช้บัญชี ซึ่ง ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นควรปรับปรุงเฉพาะประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ โดยตัดข้อความในข้อ 2 วรรคสอง ของหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 8/2561 ที่กำหนดว่า “ทั้งนี้ การบรรจุและแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้จากการขอใช้บัญชีให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่บัญชีเดิมจะครบอายุการขึ้นบัญชี” ออก แล้วปรับการเขียนข้อ 4.3 และ 4.5 ดังนี้
ข้อ 4.3 “เมื่อสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด หรือส่วนราชการ ได้รับรายชื่อผู้สอบแข่งขันได้ที่จัดลำดับที่เอกสารหลักฐานการสมัครสอบแข่งขัน หนังสือสอบถามความสมัครใจ และที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ของผู้สมัครใจ จากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด หรือส่วนราชการ ที่ส่งรายชื่อผู้สอบแข่งขันได้แล้ว ให้รายงาน กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง พิจารณาให้ความเห็นชอบและประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ โดยบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ที่ประกาศใหม่ ให้มีอายุการขึ้นบัญชีเท่ากับบัญชีเดิม...”
ข้อ 4.5 “ให้ใช้ประกาศขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ เป็นการเรียกตัวผู้สอบแข่งขันได้มารายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้งตามลำดับที่ โดยต้องกำหนดให้ผู้สอบแข่งขันได้มารายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้งไม่หลังวันที่บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ครบอายุการขึ้นบัญชี และให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ กศจ. หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง ดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรฐานตำแหน่ง ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว …”
6. อนุมัติ แต่งตั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญฯ ที่พ้นจากตำแหน่ง ก่อนครบวาระ รวม 21 ตำแหน่ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด ดังนี้
1. อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญฯ แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 7 คณะ รวม 12 คน
2. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ส่วนราชการเสนอเป็นอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯ แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 9 คณะ รวม 11 คน
ขอบคุณเนื้อหาและข้อมูลข่าวจาก :: กลุ่มประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ สำนักงาน ก.ค.ศ. วันที่ 26 พฤศจิกายน 2563