LASTEST NEWS

27 ก.ย. 2567(( รวมลิงก์ )) ประกาศผลการย้ายครู รอบที่ 2 ประจำปี พ.ศ.2567 ทุกจังหวัด ทุกเขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศ (ต่อ) 27 ก.ย. 2567(( รวมลิงก์ )) ประกาศผลการย้ายครู รอบที่ 2 ประจำปี พ.ศ.2567 ทุกจังหวัด ทุกเขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศ 27 ก.ย. 2567กรุงเทพมหานคร เรียกบรรจุครูผู้ช่วย 183 อัตรา รายงานตัวผ่านระบบออนไลน์ 17 ต.ค.2567 26 ก.ย. 2567ก.ค.ศ.เห็นชอบ ปรับปรุงการเข้าสู่ตำแหน่งสายงานบริหารสถานศึกษา ต้องเป็นรองผู้อำนวยการฯ มาก่อน และควรมีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าชำนาญการพิเศษ 26 ก.ย. 2567ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 9/2567 25 ก.ย. 2567สพม.นนทบุรี เรียกบรรจุครูผู้ช่วย รอบที่ 13 (บัญชีปี 2566) จำนวน 9 วิชาเอก จำนวน 24 อัตรา - รายงานตัว 2 ต.ค.2567 25 ก.ย. 2567ลิงก์ประกาศผลสอบ ประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านเข้าค่าย 1 โครงการส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการ สอวน. ประจำปีการศึกษา 2567 วันที่ 25 กันยายน 2567 เวลา 16.00 น.  25 ก.ย. 2567สพฐ.มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ศธ 04009/ว 6005 ลงวันที่ 24 กันยายน 2567 เรื่อง การจัดสรรอัตราจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 24 ก.ย. 2567โรงเรียนวัดสุทธิวราราม รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาแนะแนว เงินเดือน 15,000.-บาท ตั้งแต่บัดนี้ - 28 ตุลาคม 2567 24 ก.ย. 2567โรงเรียนวัดเขาดิน รับสมัครครูอัตราจ้าง 4 อัตรา เงินเดือน 15,000.-บาท ตั้งแต่บัดนี้ - 25 กันยายน พ.ศ.2567 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)

มองย้อนหลังไปการศึกษาไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

  • 19 ม.ค. 2562 เวลา 06:31 น.
  • 2,181
มองย้อนหลังไปการศึกษาไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ LINE it! - +

มองย้อนหลังไปการศึกษาไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

เนื่องในวันครู 16  มกราคม 2562  อยากถ่ายทอดมุมมองด้านการศึกษาในบ้านเราจากมุมคิดส่วนตัวที่เติบโตมากับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศ อีกทั้งยังทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยมากว่า 20 ปี พบว่า การจัดการศึกษาของบ้านเราถูกเปลี่ยนปรัชญาเปลี่ยนเป้าหมายไปนานแล้ว  จึงส่งผลให้เกิดสภาพภาวะวิกฤติทั้งระบบในปัจจุบัน

เดิมทีในยุคเริ่มต้นของการจัดให้มีสถานศึกษาทุกระดับ เพราะเราเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยพัฒนาคนเพื่อให้คนที่สำเร็จการศึกษาออกไปพัฒนาประเทศชาติ ดังนั้นจึงได้เปิดการเรียนการสอนในศาสตร์หรือสาขาวิชาต่างๆที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในเวลานั้น  แม้ว่าจะไม่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้หรือบุคลากรที่จะมาเป็นครูอาจารย์แต่ก็หาหนทางจนสามารถสร้างคนที่มีศักยภาพออกไปพัฒนาประเทศชาติได้

หนึ่งในวิธีหาทางแก้ไขความขาดแคลนสถานศึกษาและบุคลากรในยุคแรก คือการให้เอกชนสามารถจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาได้เพื่อช่วยแบ่งเบาการจัดการศึกษาของภาครัฐ และต้องยอมรับว่าการจัดการศึกษาในยุคเริ่มแรกนั้น  ผลิตคนในศาสตร์ที่ยังขาดแคลนหรือยังไม่เคยมีจัดการเรียนการสอนในประเทศของเรา อาทิ นิเทศศาสตร์หรือการสื่อสาร  จึงทำให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษามีงานทำเกือบทั้งหมด   การมีงานทำและมีเงินเดือนประจำของผู้สำเร็จการศึกษาคือแรงจูงใจที่ดึงแรงงานและลูกหลานจากภาคการเกษตรของบ้านเราให้เข้ามาสู่ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้น  ส่งผลให้สถานศึกษาของรัฐและเอกชนขยายตัวอย่างรวดเร็ว  ด้วยสิ่งเร้าที่เรียกว่า “ค่าบำรุงการศึกษา” หรือค่าเทอม  โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน มีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว  รายงานประจำปี พ.ศ.2543 ของทบวงมหาวิทยาลัยพบว่า มีมหาวิทยาลัยเอกชน 22 แห่ง วิทยาลัยและสถาบันฯ เอกชนอีก 28 แห่ง รวม 50 แห่ง  เมื่อมีความต้องการของผู้เรียน จึงมีการตอบสนอง  และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนของปรัชญาการศึกษาที่จะสร้างคนในศาสตร์สาขาวิชาที่จำเป็นต่อการพัฒนาชาติ  ไปสู่การผลิตบัณฑิตให้ได้มากที่สุด  โดยไม่ได้คำนึงว่าผู้สำเร็จการศึกษาบางสาขาวิชานั้น “มากเกินความจำเป็น” แล้ว



ในความเป็นจริงแล้วหลายหลักสูตร หลายสาขาวิชาควรจะปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ 20 ปีมาแล้ว  โดยเฉพาะบางสาขาวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์  สังคมศาสตร์ที่ไม่มีการประยุกต์หรือผสานองค์ความรู้ที่ทันต่อการพัฒนาประเทศ  เพราะในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกปี  แต่เป้าหมายของการจัดการศึกษายังคงเดิมคือ “มุ่งหาผู้เรียนให้ได้มากที่สุด”  เพราะนั่นเป็นแหล่งรายได้ที่จะทำให้องค์กรอยู่รอด  ไม่เว้นแม้กระทั่งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ  หากติดตามสถานการณ์ของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยจะเห็นได้ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจำนวนผู้เรียนลดลง  และถ้าเอาวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ PLC (Product Life Cycle) มองปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ก็จะเห็นว่าสถาบันอุดมศึกษาไทยทั้งระบบอยู่ในช่วง ถดถอย (Decline) ผู้ที่เรียนทางการตลาดจะรู้ดีกว่าเมื่อผลิตภัณฑ์มาถึงจุดนี้จะต้องทำอย่างไร  และนั่นเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยเอกชนในประเทศไทยกำลังทำอยู่ในขณะนี้

สภาวะของการศึกษาไทยทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน  เพราะต่างก็มุ่งเป้าที่จะรักษายอดผู้เรียนให้ได้ตามที่ต้องการ  เพราะเรื่องจริงก็คือ “ผู้เรียน” คือแหล่งรายได้คือแหล่งงบประมาณ ที่จะนำมาบริหารจัดการและทำให้บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา “มีงานทำ” มีเงินเดือน  แม้ว่าจะต้องทุ่มงบประมาณไปกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ปรับปรุงหลักสูตรให้ดูทันสมัยเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ “ลูกค้า” เลือกที่จะมาเรียนกับตน แต่หากมองให้ครบทั้งระบบและดูจากสถิติผู้เรียนแล้วก็พอจะเห็นภาพลางๆว่า “เหนื่อยแน่”  เช่นเดียวกับสื่อสิ่งพิมพ์ในยุคอะนาล็อก หรือ สถานีโทรทัศน์ดิจิทัล เพราะลูกค้าหรือผู้เรียนในปัจจุบันมีทางเลือกมากกว่า  เมื่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ไม่น่าพอใจไม่ตอบโจทย์ ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ  หรือสรุปด้วยข้อความที่เข้าใจง่ายๆก็คือ “ลงทุนเรียนจนจบแล้วตกงานจะเรียนไปทำไม”  เลิกโทษปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจ  อัตราการเกิดของคน หรือแม้แต่เทคโนโลยี  แต่น่าจะย้อนกลับไปดูได้แล้วว่าที่จริงแล้วเราควรมีสถาบันอุดมศึกษาไว้เพื่ออะไรกันแน่ครับ

(เรื่อง : อาจารย์กมลวรรธ  สุจริต อาจารย์ประจำภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่/ภาพ : อินเตอร์เน็ต,oer.learn.in.th)

ขอบคุณเนื้อหาและข้อมูลข่าวจาก :: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ วันที่ 18 มกราคม 2562
  • 19 ม.ค. 2562 เวลา 06:31 น.
  • 2,181

TAGS ที่เกี่ยวข้อง >>

^