ให้เลิกทำโทษน.ร.เด็กเล็กด้วยการตี
ให้เลิกทำโทษน.ร.เด็กเล็กด้วยการตี
บ.ก.ตอบจดหมาย
เรียน บ.ก.ข่าวสด ผ่านไปยัง ฯพณฯนายกรัฐมนตรี
ตาม ที่ท่านออกค่านิยมไทย 12 ประการสำหรับให้คนไทยทั่วประเทศนำไปเป็นแนวทางปฏิบัตินั้น ดิฉันเห็นว่าค่านิยมดังกล่าวหากให้เด็กในโรงเรียนได้รับการปลูกฝังไม่ว่า วิธีใดก็ตาม ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้โดยมีผู้ใหญ่ เช่น รัฐบาล โรงเรียน ครู อาจารย์ พ่อ แม่ สนับสนุน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าการนำค่านิยมไปสู่แนวปฏิบัติสำหรับเด็กไทยไม่ใช่ เรื่องง่ายเหมือนความฝันอย่างที่ท่านวาดไว้ โดยเฉพาะค่านิยมข้อสี่ "มุ่งใฝ่เล่าเรียน เพียรวิชา"
ท่านทราบหรือไม่ว่าในอดีต สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เคยออกระเบียบนโยบายไม่ให้โรงเรียน/ครูประถมศึกษาทำโทษเด็กโดยการตี แต่ปัจจุบันปรากฏว่า ยังมีโรงเรียนรัฐบาลในระดับอนุบาลรวมทั้งประถมศึกษาที่ยังมีครูยังลงโทษเด็ก ด้วยการตีอย่าง ไร้เหตุผลแม้แต่เด็กในชั้นอนุบาล โดยที่เด็กไม่รู้ว่ามีความผิดอะไร เหมือนครูตีด้วยความเคยชินเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนมีข่าวครูทำโทษเด็กอนุบาล 5 ขวบจนหูฉีกขาด แต่ไม่มีข่าวว่า สพฐ.แก้ไขปัญหาอย่างไร
เด็กอนุบาลหรือเด็กก่อนประถมศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมเด็กให้มีความพร้อมที่จะเข้าเรียนในระดับ ประถมศึกษา เมื่อเริ่มแรกออกจากอกพ่อแม่ (ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติ) เข้าสู่โรงเรียน เด็กอาจเกิดความกลัว ขาดความเชื่อมั่น ที่สำคัญการรับรู้ทางภาษายังไม่สมบูรณ์ ทั้งการพูดเป็นประโยค การฟัง การเล่าเรื่อง ขอให้ครูฟังเด็กเล่า บอกกล่าวให้จบในสิ่งที่เด็กทำและคิด ครูกำหนดสิ่งที่เป็นความผิดขึ้นเอง โดยเด็กไม่รู้ว่าเป็นโทษ ซึ่งในเด็กเล็กไม่จำเป็นต้องเป็นการตี โรงเรียนและบ้านอาจตกลงกันว่าทำอะไรจึงผิด ในโลกยุคใหม่ประชาชนตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น แต่หากครูทำโทษโดยการตีมากเกินไปเหมือนเป็นการทำร้ายซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่ แล้ว แต่สิ่งที่เป็นข้อเสียมากกว่านั้น อย่าว่าแต่ตี แค่ครูดุว่าเสียงดังเด็กจะใจเสียและมีแต่ความกลัว ยิ่งถูกตีก็ขวัญกระเจิง แล้วจะมีพลังเสริมจากไหนมาเรียนรู้ หากครูสั่งสอนเด็กด้วยเหตุผลแบบเป็นมิตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องการใช้ชีวิตส่วนตัว เด็กจะคิดบวกมีกำลังใจ และสมองจะได้รับการพัฒนา แต่หากเด็กถูกลงโทษด้วยการตีมากกว่าสอนให้เรียนรู้ สติปัญญาเด็กจะถดถอยลง (งานวิจัยในต่างประเทศระบุว่าถดถอยลง 40%) และหากเด็กถูกตีปีละ 10 ครั้งแต่ต้องอยู่ในระบบโรงเรียนถึง 14 ปี (รวมอนุบาล) สติปัญญาของเด็กจะเป็นอย่างไร
ขณะนี้ประเทศไทยได้ถูกจัด อันดับว่าการพัฒนาการศึกษาไปอยู่อันดับที่ 8 จาก 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน การปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลว ในอนาคตขอให้ลองคิดนอกกรอบมีการทำวิจัยบ้างไหมว่าเด็กที่ถูกทำโทษ ถูกทำร้ายจิตใจตั้งแต่ระดับอนุบาลจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมเด็กในทางรุนแรง เมื่อโตขึ้นเช่นเด็กอาชีวะ โดยขอให้ปฏิรูปครูให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลให้เรียนรู้จากประเทศอื่นบ้าง ครั้งนี้เป็นโอกาสของคสช. หากหยิบยกเรื่องนี้โดยเฉพาะกฎหมายระเบียบการลงโทษนักเรียนประถมศึกษา(รวม อนุบาล) โดยการไม่ตีมาทบทวนควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่นๆ ท่านอาจพบการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ หากท่านทำไม่ได้ที่ท่านพูดมาทั้งหมดที่อ้างเหตุผลการทำรัฐประหารก็เป็น เรื่องไม่จริง จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์ท่านมอบหมายกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัด และสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาที่มีสถาบันการศึกษาที่ผลิตครู เพื่อพิจารณาด้วย
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาตามแต่จะเห็นสมควร
ขอแสดงความนับถือ
ข้าราชการบำนาญ
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 30 ตุลาคม 2557
บ.ก.ตอบจดหมาย
เรียน บ.ก.ข่าวสด ผ่านไปยัง ฯพณฯนายกรัฐมนตรี
ตาม ที่ท่านออกค่านิยมไทย 12 ประการสำหรับให้คนไทยทั่วประเทศนำไปเป็นแนวทางปฏิบัตินั้น ดิฉันเห็นว่าค่านิยมดังกล่าวหากให้เด็กในโรงเรียนได้รับการปลูกฝังไม่ว่า วิธีใดก็ตาม ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้โดยมีผู้ใหญ่ เช่น รัฐบาล โรงเรียน ครู อาจารย์ พ่อ แม่ สนับสนุน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าการนำค่านิยมไปสู่แนวปฏิบัติสำหรับเด็กไทยไม่ใช่ เรื่องง่ายเหมือนความฝันอย่างที่ท่านวาดไว้ โดยเฉพาะค่านิยมข้อสี่ "มุ่งใฝ่เล่าเรียน เพียรวิชา"
ท่านทราบหรือไม่ว่าในอดีต สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เคยออกระเบียบนโยบายไม่ให้โรงเรียน/ครูประถมศึกษาทำโทษเด็กโดยการตี แต่ปัจจุบันปรากฏว่า ยังมีโรงเรียนรัฐบาลในระดับอนุบาลรวมทั้งประถมศึกษาที่ยังมีครูยังลงโทษเด็ก ด้วยการตีอย่าง ไร้เหตุผลแม้แต่เด็กในชั้นอนุบาล โดยที่เด็กไม่รู้ว่ามีความผิดอะไร เหมือนครูตีด้วยความเคยชินเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนมีข่าวครูทำโทษเด็กอนุบาล 5 ขวบจนหูฉีกขาด แต่ไม่มีข่าวว่า สพฐ.แก้ไขปัญหาอย่างไร
เด็กอนุบาลหรือเด็กก่อนประถมศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมเด็กให้มีความพร้อมที่จะเข้าเรียนในระดับ ประถมศึกษา เมื่อเริ่มแรกออกจากอกพ่อแม่ (ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติ) เข้าสู่โรงเรียน เด็กอาจเกิดความกลัว ขาดความเชื่อมั่น ที่สำคัญการรับรู้ทางภาษายังไม่สมบูรณ์ ทั้งการพูดเป็นประโยค การฟัง การเล่าเรื่อง ขอให้ครูฟังเด็กเล่า บอกกล่าวให้จบในสิ่งที่เด็กทำและคิด ครูกำหนดสิ่งที่เป็นความผิดขึ้นเอง โดยเด็กไม่รู้ว่าเป็นโทษ ซึ่งในเด็กเล็กไม่จำเป็นต้องเป็นการตี โรงเรียนและบ้านอาจตกลงกันว่าทำอะไรจึงผิด ในโลกยุคใหม่ประชาชนตระหนักในเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น แต่หากครูทำโทษโดยการตีมากเกินไปเหมือนเป็นการทำร้ายซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่ แล้ว แต่สิ่งที่เป็นข้อเสียมากกว่านั้น อย่าว่าแต่ตี แค่ครูดุว่าเสียงดังเด็กจะใจเสียและมีแต่ความกลัว ยิ่งถูกตีก็ขวัญกระเจิง แล้วจะมีพลังเสริมจากไหนมาเรียนรู้ หากครูสั่งสอนเด็กด้วยเหตุผลแบบเป็นมิตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องการใช้ชีวิตส่วนตัว เด็กจะคิดบวกมีกำลังใจ และสมองจะได้รับการพัฒนา แต่หากเด็กถูกลงโทษด้วยการตีมากกว่าสอนให้เรียนรู้ สติปัญญาเด็กจะถดถอยลง (งานวิจัยในต่างประเทศระบุว่าถดถอยลง 40%) และหากเด็กถูกตีปีละ 10 ครั้งแต่ต้องอยู่ในระบบโรงเรียนถึง 14 ปี (รวมอนุบาล) สติปัญญาของเด็กจะเป็นอย่างไร
ขณะนี้ประเทศไทยได้ถูกจัด อันดับว่าการพัฒนาการศึกษาไปอยู่อันดับที่ 8 จาก 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน การปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลว ในอนาคตขอให้ลองคิดนอกกรอบมีการทำวิจัยบ้างไหมว่าเด็กที่ถูกทำโทษ ถูกทำร้ายจิตใจตั้งแต่ระดับอนุบาลจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมเด็กในทางรุนแรง เมื่อโตขึ้นเช่นเด็กอาชีวะ โดยขอให้ปฏิรูปครูให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลให้เรียนรู้จากประเทศอื่นบ้าง ครั้งนี้เป็นโอกาสของคสช. หากหยิบยกเรื่องนี้โดยเฉพาะกฎหมายระเบียบการลงโทษนักเรียนประถมศึกษา(รวม อนุบาล) โดยการไม่ตีมาทบทวนควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่นๆ ท่านอาจพบการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ หากท่านทำไม่ได้ที่ท่านพูดมาทั้งหมดที่อ้างเหตุผลการทำรัฐประหารก็เป็น เรื่องไม่จริง จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์ท่านมอบหมายกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัด และสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาที่มีสถาบันการศึกษาที่ผลิตครู เพื่อพิจารณาด้วย
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาตามแต่จะเห็นสมควร
ขอแสดงความนับถือ
ข้าราชการบำนาญ
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 30 ตุลาคม 2557
