การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่
เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model”
ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
มงคล ใบแสง
โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่, สังกัดเทศบาลนครเชียงราย กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น
* Corresponding author. E-mail address: mongkolb48@gmail.com
Received: xx January 2022; Revised: xx January 2022; Accepted: xx December 2022
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหาร สถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษา และ 4) ประเมินผลรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษา ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวิธีดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา และศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาที่ประสบความสำเร็จ ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย และขั้นตอนที่ 4 ประเมินผลรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเริ่มดำเนินการใช้รูปแบบในปีการศึกษา 2565
ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย มีองค์ประกอบหลัก 5 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 หลักการและเหตุผล องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ องค์ประกอบที่ 3 รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย องค์ประกอบที่ 4 กลไกการบริหารงาน และองค์ประกอบที่ 5 เงื่อนไขความสำเร็จ ผลการประเมินร่างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย ที่พัฒนาขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญ โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อนำไปทดลองใช้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 และประเมินผลการใช้รูปแบบจากผู้เกี่ยวข้อง โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด และผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
Keywords : รูปแบบการบริหาร, การเรียนรู้ในวิถีใหม่, ยกระดับคุณภาพการศึกษา
Introduction
โรงเรียนเป็นองค์การทางการศึกษาที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาคุณภาพนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาโดยมีเจตนารมณ์ที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี คนเก่ง สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ได้กำหนดจุดมุ่งหมายการพัฒนาคนในศตวรรษที่ 21 ให้มีทักษะการเรียนรู้ การอ่านออก เขียนได้ คิดคำนวณได้ มีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการคิดแก้ปัญหา ทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์ ทักษะการทำงานและมีความรอบรู้ พัฒนาคนให้เหมาะสมตามช่วงวัย มีค่านิยมตามบรรทัดฐานที่ดีทางสังคมเป็นคนดี มีสุขภาวะที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวิจัยและมีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมส่วนรวม โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การพัฒนาคนให้ประสบความสำเร็จและมีคุณภาพ คือ การยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ การจัดกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน มีแหล่งเรียนรู้ สื่อตำราเรียน นวัตกรรมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีระบบและกลไกการวัด การติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ (ธีรศักดิ์ อุปไมยอธิชัย, 2560); (อัจฉรา นิยมาภา, 2561) การดำเนินการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายและคุณภาพ ดังจะเห็นได้จากรายงานการวิจัย รายงานสภาวะการศึกษาไทย แนวคิดของนักการศึกษาและนักวิชาการ ที่ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุการปฏิรูปการศึกษาของไทยที่ไม่สามารถไปถึงคุณภาพได้นั้น มีสาเหตุสำคัญสรุปได้ดังนี้ 1) โครงสร้างการบริหารจัดการศึกษาเป็นแบบรวมศูนย์ 2) การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองส่งผลต่อการบริหารจัด 3) ระบบการศึกษาไม่เอื้อต่อการสร้างความรับผิดชอบ (Accountability) ทั้งในส่วนของการทดสอบระบบประเมินผลโรงเรียนและครู และระบบการเงินเพื่อการศึกษา 4) แนวคิดวัฒนธรรมที่มีต่อระบบการศึกษาของคนไทยที่มุ่งเน้นการทดสอบแบบท่องจำ วัฒนธรรมการศึกษาเพื่อการแข่งขัน การประกวด การประเมิน รวมถึงการประเมินของสถานศึกษาเพื่อรับรางวัลนำชื่อเสียงมาสู่ครู ผู้บริหาร และโรงเรียน 5) หลักสูตรการจัดการเรียนรู้ สื่อ และเทคโนโลยีไม่สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เด็กไทยมีชั่วโมงเรียนมาก จำนวนวิชามาก และมีxxxส่วน จำนวนชั่วโมงต่อวิชาเรียนหลักอาจยังไม่เหมาะสม และ 6) ระบบการพัฒนาผู้บริหาร ครู และ บุคลากรทางการศึกษา พบว่า ยังไม่มีการประเมินสมรรถนะตามวิชาชีพที่แท้จริง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แนวใหม่ที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (มนต์นภัส มโนการณ์, 2561)
เนื่องจากทักษะในศตวรรษที่ 21มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยทักษะที่หลากหลายและแตกต่างกันไป เช่น มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความคิดสร้างสรรค์ และเรียนรู้แบบร่วมมือ เน้นทักษะทางด้านเทคโนโลยี รวมทั้งมีทัศนคติและค่านิยมที่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ทักษะการคิดที่ซับซ้อน ทักษะการเรียนรู้และทักษะการสื่อสาร โดยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากกว่าการท่องจำ (Saavedra and Opfer, 2012 : 5) การจัดการศึกษามีบทบาทหน้าที่หลักในการเตรียมคนที่มีความรู้ความสามารถ ทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์เท่าทันกับกระแสความเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จึงต้องเปลี่ยนแปลงทัศนะจากกระบวนทัศน์แบบดั้งเดิม (Tradition Paradigm) ไปสู่กระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) ที่เป็นการเรียนรู้เพื่อชีวิต สามารถนำทักษะที่ได้รับจากการเรียนรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2561) ผู้บริหารจึงควรมีแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับความต้องการจำเป็น และสอดคล้องกับแนวทางการบริหารของหน่วยงานต้นสังกัด รวมทั้งมีแนวทางในการกำหนดนโยบายการจัดการศึกษาของโรงเรียนอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2558) โดยต้องแสวงหาแนวทางจัดการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับองค์กรหรือกลไกต่าง ๆ ในชุมชนและในสังคม นั่นคือ การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning : PBL) ที่บรรจบเข้ากับการเรียนรู้แบบ “สถานที่เป็นฐาน” (Place-Based Learning : PBL) เรียกว่า การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-Based Learning : CBL) นั่นเอง (วิจารณ์ พานิช, 2557) ซึ่งมีความแตกต่างจากการเรียนการสอนแบบเดิม กล่าวคือ การเรียนรู้แบบเดิมผู้เรียนรับการถ่ายทอดจากครูโดยตรง (Reception Learning) ในขณะที่การเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานมีการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบ (Discovery Learning) มีการวิเคราะห์การประเมิน และการแก้ปัญหา โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียนรู้ (มณฑล จันทร์แจ่มใส, 2558) เพื่อส่งเสริมสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 จำนวน 5 ด้าน ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมาส่งผลต่อวิถีชีวิตคนไทย ทำให้เกิดรูปแบบการดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากอดีตตามวิถีความปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งส่งผลกระทบกับระบบการศึกษาทำให้สถานศึกษาต้องปรับตัวเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ให้สอดคล้องกับความปกติใหม่ที่เกิดขึ้น การเสริมสร้างทักษะทางด้านการใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสม ถือเป็นสิ่งจําเป็นต่อการดำเนินชีวิตในวิถีใหม่ ที่ต้องปรับการจัดการศึกษาในยุคนี้จะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุก ๆ สถานที่ เพื่อให้การเรียนการสอนมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น และเกิดการโต้ตอบมากยิ่งขึ้น ด้วยการนําเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการเรียนการสอน (ธัญญ์นภัส วิรัตน์เกษม, 2564) นอกจากการพัฒนานักเรียนผ่านกระบวนการทางการศึกษาแล้ว การป้องกันและการช่วยเหลือแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับนักเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งด้านการสื่อสาร เทคโนโลยี ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาดของสารเสพติด ปัญหาครอบครัว ก่อใหเกิดความทุกข์ ความวิตกกังวล ความเครียด ซึ่งล้วนแต่เป็นผลเสียต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของทุกคน จนนําไปสู่การเกิดปัญหาและสภาวะวิกฤติทางสังคม ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องพัฒนาตนเองให้ทันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้การดำรงชีวิตเป็นวงจรของความเป็นปกติใหม่ (New Normal) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด กล่าวคือ เมื่อวิกฤตการณ์ใดเกิดขึ้นย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่เดิมให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงนั้นจากความปกติเดิมสู่ความปกติใหม่เสมอ (สุพริศร์ สุวรรณิก, 2564)
ดังนั้น การบริหารสถานศึกษาในวิถีใหม่ (New Normal) ต้องให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 39 กำหนดว่าให้ กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษาทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารงานทั่วไปไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง หลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฉะนั้น บทบาทของสถานศึกษาจึงมีหน้าที่หลักในการบริหารและจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ครอบคลุมงานทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านงานวิชาการ งานงบประมาณ งานบุคลากร และงานบริหารทั่วไป ให้เกิดความสอดคล้องกับสังคมในยุคปัจจุบัน เพื่อบรรลุเป้าหมายของการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ คือ มุ่งสร้างคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม มีความรู้ความสามารถ มีทักษะในการทำงาน มีคุณธรรมจริยธรรมตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ โดยรัฐบาลมุ่งเน้นให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยมีเป้าหมายหลักสามประการ คือ พัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานการศึกษา และการเรียนรู้ของคนไทย เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและเรียนรู้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา และมีกรอบแนวทางการปฏิรูปการศึกษาสี่ประการ คือ พัฒนาคณภาพคนไทยยุคใหม่ พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ พัฒนาคุณภาพสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการใหม่ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2552) พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงโลกในยุคศตวรรษที่ 21 และการเสริมสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพของคน ทั้งในเชิงสถาบัน ระบบโครงสร้างของสังคมให้เข้มแข็ง สามารถเป็นภูมิคุ้มกันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2555)
โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ เป็นโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จึงได้จัดการเรียนการสอนหลักสูตรคู่ขนานร่วมกับโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ มาตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โดยเน้นการพัฒนานวัตกรรมและกระบวนการเรียนรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีวิชาที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษในรายวิชาเพิ่มเติม ได้แก่ Math Science และ Phonics ที่สอนโดยครูชาวต่างชาติ สามารถบูรณาการกับชีวิตจริงของผู้เรียน และใช้แนวการสอนตามแบบโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ผ่านการใช้สื่อทำมือและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในห้องเรียน มุ่งหวังพัฒนาให้นักเรียนเป็นผู้มีความรู้ ทักษะ ปลูกฝังให้นักเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัย อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงน้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนและการใช้ชีวิตในประจำวันที่จะพัฒนาศักยภาพและทักษะด้านวิชาการของผู้เรียนตามมาตรฐานสากลที่บูรณาการกับชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยในฐานะผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย ตระหนักถึงการยกระดับคุณภาพการศึกษา จึงสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ ซึ่งจะเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่มีบริบทใกล้เคียงได้นำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงการบริหารการศึกษาในโรงเรียนระดับประถมศึกษาให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป
Methods and Materials
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
2. เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
4. เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย เป็นงานวิจัยที่มีลักษณะวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ผู้วิจัยกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมด 4 ขั้นตอน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา (Research : R1) โดยดำเนินการ 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย
1. ขั้นตอนดำเนินการ
1.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา แนวคิดการบริหารคุณภาพด้วยวงจรเดมมิ่ง แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ และแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบและการพัฒนารูปแบบ
1.2 ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการสร้างข้อสรุปจากการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
1.3 สังเคราะห์องค์ประกอบ/ตัวบ่งชี้ของการการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อนำไปสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัย และสร้างแบบสอบถามศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 คน คณะครู จำนวน 20 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 487 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 คน คณะครู จำนวน 20 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน โดยเก็บข้อมูลจากประชากร และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 215 คน โดยเทียบจำนวนประชากรทั้งหมด กับตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan)
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.1 แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ของลิเคอร์ท (Likert)
3.2 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ
ผู้วิจัยศึกษาแนวคิด หลักการ ทฤษฎี สังเคราะห์องค์ประกอบ/ตัวบ่งชี้ของการดำเนินของการบริหารสถานศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อนำไปสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัย แล้วนำไปเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา จำนวน 5 ท่าน พิจารณาความเหมาะสม จากนั้นสร้างแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย โดยดำเนินการดังนี้
1) สร้างแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า(rating scale) ใหhเลือกตอบ 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด เกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ ตามกรอบแนวคิดการวิจัย
2) นำแบบสอบถามไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่านประเมินความตรงเชิงเนื้อหา (content validity)
3) คัดเลือกข้อคำถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและจุดประสงค์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) ตั้งแต่ 0.80 ขึ้นไป และปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่ปรึกษา
4) นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (try out) กับครูโรงเรียนในเขตเทศบาลเชียงราย จำนวน 20 คน
5) นำข้อมูลที่ได้จากการทดลองใช้แบบสอบถาม (try out) ไปตรวจสอบหาความเชื่อมั่น (reliability) โดยใช้สูตร Cronbach’s alpha coefficient (Cronbach, 1970)
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ประชุมครู และผู้ปกครอง เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย และขอเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ เมื่อได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาแล้ว ผู้วิจัยดำเนินการตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนำข้อมูลมาวิเคราะห์ โดยการแจกแจงความถี่ และหาค่าร้อยละ แล้วจะนำเสนอรูปตารางประกอบความเรียงท้ายตาราง และวิเคราะห์หาความต้องการจำเป็นโดยใช้วิธีจัดลำดับความสำคัญแบบและหาผลต่างโดยใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index (PNImodified)
ตอนที่ 2 ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของโรงเรียนต้นแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา
ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของสถานศึกษาที่มีผลงานด้านการบริหารสถานศึกษาที่เป็นเลิศ ระหว่างปี พ.ศ. 2561–2563 อย่างต่อเนื่อง จำนวน 3 โรงเรียน โดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ได้แก่ 1) โรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่น 2) โรงเรียนเทศบาล 1 ศรีเกิด และ 3) โรงเรียนเทศบาล 2 หนองบัว
1. ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนละ 1 คน และรองผู้อำนายการ โรงเรียนละ 1 คน จากสถานศึกษาที่มีผลการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ (Best Practice) รวมทั้งสิ้น 6 คน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
2.1 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง
2.2 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ
1) สร้างเป็นข้อคำถามของแบบสัมภาษณ์
2) นำข้อคำถามของแบบสัมภาษณ์ที่สร้างได้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ (ชุดเดิม)ตรวจสอบความเหมาะสมของแบบสัมภาษณ์ สำนวนภาษา และปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
3) นำแบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้นเรียบร้อยแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญ (ชุดเดิม) ในการตรวจสอบเครื่องมือวิจัย พิจารณาความสอดคล้องระหว่างประเด็นข้อคำถามในการสัมภาษณ์ กับวัตถุประสงค์และนิยามศัพท์เฉพาะ ในขั้นตอนนี้ใช้การวิเคราะห์ความสอดคล้อง (IOC : Index of Congruence) โดยผู้วิจัยเลือกข้อคำถามที่มีค่าความสอดคล้องตั้งแต่ .60 ขึ้นไป
4) ปรับปรุงแบบสัมภาษณ์ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ให้ข้อมูลและสัมภาษณ์ด้วยตนเอง โดยใช้แบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้น ผู้วิจัยจัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีการจดบันทึก ใช้เครื่องบันทึกเสียงและกล้องถ่ายภาพ
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
วิเคราะห์แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของโรงเรียนต้นแบบด้านการบริหารสถานศึกษา จากการสัมภาษณ์ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา (Development : D1)
1. ขั้นตอนดำเนินการ
1.1 ศึกษาทฤษฎี แนวคิด เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทฤษฎีการบริหารสถานศึกษา และการพัฒนารูปแบบการบริหารการศึกษา
1.2 นำข้อมูลที่ได้จากข้อ 1 มาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลสารสนเทศที่ได้ในขั้นตอนที่ 1 มายกร่างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย
1.3 นำร่างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย เบื้องต้น เสนอผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เพื่อให้ข้อเสนอแนะ โดยวิธีการสนทนากลุ่ม (Focus Group)
1.4 ปรับปรุงแก้ไขรูปแบบตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
1.5 จัดทำคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
2.1 แบบประเมินร่างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย
2.3 คู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการนำร่างรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย เสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 ท่าน วิพากษ์ร่างรูปแบบการบริหารฯ โดยการจัดสนทนากลุ่ม (Focus Group) และประเมินรูปแบบการบริหารฯ ด้วยแบบประเมินที่สร้างขึ้น
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้แบ่งข้อมูลที่ได้ออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งผู้วิจัยจะรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณนำมาวิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) แล้วนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์ พร้อมทั้งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรูปแบบตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ จนได้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย ฉบับสมบูรณ์ สำหรับนำไปทดลองใช้ในขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษา (Research : R2)
ในขั้นตอนนี้ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย มาทดลองใช้ในการบริหารสถานศึกษา โดยใช้แบบแผนการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลหลังการทดลอง (One Group Post-test Only) และจากการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) จากเอกสารสำคัญ เพื่อถอดบทเรียนการปฏิบัติ โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นตอนดำเนินการ
1.1 ผู้วิจัยดำเนินการชี้แจงแก่รองผู้อำนวยการ คณะครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ ทราบวิธีการดำเนินการตามคู่มือการใช้รูปแบบฯ และวิธีการประเมินผลหลังเสร็จสิ้นการทดลอง
1.2 ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย
1.4 วิเคราะห์ผลการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบประเมินความเหมาะสมเชิงเนื้อหาของรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย สำหรับรองผู้อำนวยการ ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสมเชิงเนื้อหาของรูปแบบการบริหารสถานศึกษาฯ กับผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 คน คณะครู จำนวน 20 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน โดยเก็บข้อมูลจากประชากร ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 หลังการทดลองใช้รูปแบบการบริหารฯ
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้แบ่งข้อมูลที่ได้ออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งผู้วิจัยจะรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณนำมาวิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) แล้วนำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์
ขั้นตอนที่ 4 ศึกษาผลการประเมินรูปแบบการบริหารสถานศึกษา (Development : D2)
ในขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบยืนยันความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย และประเมินความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ซึ่งประเมินโดยผู้ที่เกี่ยวข้องหลังจากที่ได้ทดลองใช้ ได้แก่ ผู้บริหาร ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียนในปีการศึกษา 2565 โดยดำเนินการดังนี้
1. ขั้นตอนการดำเนินการ
นำรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในวิถีใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ด้วย “PARTNER Model” ของโรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่ สังกัดเทศบาลนครเชียงราย ไปสอบถามความเหมาะสมและความเป็นไปได้ และประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบกับผู้บริหาร ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 คน คณะครู จำนวน 20 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 487 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 2 คน คณะครู จำนวน 20 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน โดยเก็บข้อมูลจากประชากร และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 215 คน โดยเทียบจำนวนประชากรทั้งหมด กับตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan)
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.1 แบบประเมินความเหมาะสม และควา