รูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก
เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาโรงเรียนลำพระเพลิงพิทยาคม
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา
ผู้วิจัย เชษฐชาย วรรณประพันธ์
ปีที่วิจัย 2564
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนลำพระเพลิงพิทยาคมภายใต้การดำเนินการ 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษารูปแบบและแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) รวมถึงการศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ของบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียน
ลำพระเพลิงพิทยาคม ระยะที่ 2 เป็นการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัด
การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ระยะที่ 3 เป็นการทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา และระยะที่ 4 เป็นการประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการบริหารสถานศึกษา
ในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ของครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนลำพระเพลิงพิทยาคม โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้เชิงรุก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกผ่านกระบวนการคิดและการลงมือปฏิบัติ ด้านการใช้และพัฒนาสื่อ นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้เชิงรุก ด้าน
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก และด้านการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ส่วนแนวทาง
การบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมและพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) พบว่า
1) ควรมีการส่งเสริมการมีอิสระทางความคิดและการปฏิบัติของผู้เรียนโดยเสริมสร้างกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์ 2) ควรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการจัดการเรียนรู้ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน 3) ควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนกล้าแสดงความรู้ความสามารถตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน 4) การบริหารจัดการให้ครอบคลุมการสร้างความตระหนักในการพัฒนาวิชาชีพและทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21 5) สร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกคน กระตุ้นการเรียนรู้ร่วมกันและควรมีเครือข่ายสถานศึกษาในการร่วมพัฒนาคุณภาพการศึกษา 6) ควรมีการติดตาม นิเทศและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสะท้อนผลการดำเนินการตามเป้าหมาย
2. รูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาที่พัฒนาขึ้นด้วยหลักการบริหาร STEM Model ที่ประกอบด้วย
4 ขั้นตอน คือ 1) การกำหนดกลยุทธ์ (Strategy: S) 2) มุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม (Team Work : T)
3) เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Exchange : E) และ 4) การบริหารจัดการยุคใหม่ (Modern Management : M) เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ด้วยกระบวนการ 5 ขั้นตอน 1) การสร้างความตระหนัก (Awareness) 2) การพัฒนาสมรรถนะครู (Teacher Development) 3) การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ (Learning Development) 4) การนิเทศ (Supervision) 5) การประเมินผล (Assessment : A )
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาโรงเรียนลำพระเพลิงพิทยาคม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา พบว่า
3.1 สมรรถนะในการจัดการเรียนรู้ของครูหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาด้วยรูปแบบการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3.2 พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนก่อนและหลังการพัฒนาด้วยรูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่งผลให้นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้หลังเรียน อยู่ในระดับมากขึ้น
3.3 ความพึงพอใจของครูและบุคลากรทางการศึกษาหลังการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยภาพรวมมีความพึงพอใจ
อยู่ในระดับมากที่สุด
4. ประสิทธิภาพของรูปแบบการบริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
5. ประสิทธิผลในการจัดการเรียนรู้ของครูและบุคลากรทางการศึกษา พบว่า ด้านการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน และด้านการพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรมการเรียนรู้ ตามลำดับ