วิจัยการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL
โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 - 2563
ผู้รายงาน นายอภัย ภัยมณี
ผู้อำนวยการโรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์
ปีที่รายงาน ปีการศึกษา 2562 - 2563
บทคัดย่อ
การวิจัยการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 โดยใช้รูปแบบการประเมินของสตัฟเฟิลบีม (D.L.Stufflebeam’ s CIPP Model) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 2) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง ในการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบของนักเรียน หลังการพัฒนา โดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และเครือข่ายองค์กรชุมชนที่มีต่อการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ประชากรครู ปีการศึกษา 2562 และ 2563 จำนวน 14 คน กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ปีการศึกษา 2562 และ 2563 จำนวน 113 คน กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครอง ปีการศึกษา 2562 และ 2563 จำนวน 113 คน กลุ่มตัวอย่างคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2562 และ 2563 จำนวน 7 คน และกลุ่มตัวอย่างเครือข่ายองค์กรชุมชน ปีการศึกษา 2562 และ 2563 จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ มีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือทุกฉบับได้ค่าความเชื่อมั่นระหว่าง .95-.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป
ผลการวิจัย พบว่า
1. สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามความคิดเห็นของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ต่อการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 จำแนกตามกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า
ปีการศึกษา 2562 โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีความคิดเห็นต่อการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาจำแนกแต่ละกลุ่ม พบว่า กลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 3.95, =0.24) อยู่ในระดับมาก รองลงมาได้แก่ กลุ่มผู้ปกครอง ( = 3.89, S.D.=0.21) อยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มนักเรียน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( = 3.88, S.D.=0.30) อยู่ในระดับมาก เช่นกัน
ปีการศึกษา 2563 โดยภาพรวมทุกกลุ่มที่ประเมิน มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาจำแนกแต่ละกลุ่ม พบว่า กลุ่มนักเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 4.77, S.D.=0.31) อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่ กลุ่มผู้ปกครอง ( = 4.75, S.D.=0.22) อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนกลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (= 4.64, =0.26) อยู่ในระดับมากที่สุด เช่นกัน สอดคล้องตามสมมติฐาน
2. สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 จำแนกตามกลุ่ม ผู้ประเมิน พบว่า
ปีการศึกษา 2562 โดยรวมทุกกลุ่มที่ประเมิน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ เมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่ม ผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มผู้ปกครอง มีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นสูงสุด ( = 3.81, S.D.=0.28) อยู่ในระดับมาก รองลงมาได้แก่ กลุ่มครู (= 3.76, =0.40) อยู่ในระดับมาก และกลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ กลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน ( = 3.67, S.D.=0.41) อยู่ในระดับมาก เช่นกัน
ปีการศึกษา 2563 ดยรวมทุกกลุ่มที่ประเมิน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และ เมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่ม ผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 4.65, S.D.=0.34) อยู่ในระดับ มากที่สุด รองลงมาได้แก่ กลุ่มผู้ปกครอง ( = 4.64, S.D.=0.41) อยู่ในระดับมากที่สุด และกลุ่มผู้ประเมินที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ กลุ่มครู และกลุ่มนักเรียน มีค่าเฉลี่ย (, = 4.58, ,S.D.=0.42) อยู่ในระดับมากที่สุด เช่นกัน สอดคล้องตามสมมติฐาน
3. สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมที่สะท้อนความรับผิดชอบของนักเรียนตามความคิดเห็นของครู และผู้ปกครอง หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2562-2563 พบว่า
ปีการศึกษา 2562 โดยรวมทั้งสองกลุ่มที่ประเมิน มีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณา แต่ละกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 3.97, =0.12) อยู่ในระดับดี ส่วนกลุ่มผู้ปกครอง ( = 3.75, S.D.=0.35) อยู่ในระดับดี เช่นกัน
ปีการศึกษา 2563 โดยรวมทั้งสองกลุ่มที่ประเมิน มีค่าเฉลี่ยความคิดเห็นอยู่ในระดับดีมาก และ เมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่มผู้ประเมิน พบว่า กลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 4.70, =0.39) อยู่ในระดับดีมาก รองลงมาได้แก่ กลุ่มผู้ปกครอง ( = 4.57, S.D.=0.37) อยู่ในระดับดีมาก เช่นกัน สอดคล้องตามสมมติฐาน
4. สรุปผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และเครือข่ายองค์กรชุมชน ต่อการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียน สทิงพระชนูปถัมภ์ หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2562 – 2563 พบว่า
ปีการศึกษา 2562 โดยรวมทุกกลุ่มที่ประเมิน มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่ม พบว่า กลุ่มครู มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 3.94, =0.21) อยู่ในระดับมาก รองลงมาได้แก่ กลุ่มนักเรียน ( = 3.92, S.D.=0.22) อยู่ในระดับมาก ส่วนกลุ่มผู้ปกครอง มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( = 3.70, S.D.=0.40) อยู่ในระดับมาก เช่นกัน
ปีการศึกษา 2563 โดยรวมทุกกลุ่มที่ประเมินมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่ม พบว่า กลุ่มนักเรียน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 4.69, S.D.=0.38) อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่ กลุ่มครู (= 4.64, =0.43) อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนกลุ่มคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และกลุ่มเครือข่ายองค์กรชุมชน มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( = 4.61, S.D.=0.44) อยู่ในระดับมากที่สุด เช่นกัน สอดคล้องตามสมมติฐาน
ข้อเสนอแนะ
จากการวิจัยการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนโดยใช้ SONG-LE MODEL โรงเรียนสทิงพระชนูปถัมภ์ ปีการศึกษา 2562 – 2563 ครั้งนี้ทำให้ค้นพบจุดเด่นของการเป็นแบบอย่างที่ดีซึ่งเป็นประโยชน์ และเป็นแนวทาง ในการเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียนต่อไป
1. ข้อเสนอแนะเพื่อการนำผลการวิจัยไปใช้
1.1 S : Strategy (กลยุทธ์ที่แยบยล) สถานศึกษาอื่นควรกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินงาน ที่สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) เนื่องจาก การบริหารเชิงกลยุทธ์นั้นยังมีประโยชน์ต่อองค์กร คือทำให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ เพราะการบริหารเชิงกลยุทธ์จะกำหนดทิศทางในการดำเนินงานที่ชัดเจนทำให้ผู้รับบริการหรือผู้เกี่ยวข้องทราบถึงแนวนโยบายการบริหารงานและสามารถช่วยยกระดับคุณภาพการปฏิบัติงานขึ้นมาได้ ทำให้องค์กรบริหารงานบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้และช่วยให้ผู้บริหารมีการทำงานในลักษณะเชิงรุก (Proactive) มากกว่าเชิงรับ และป้องกันตัว (Reactive and Defendive) ซึ่งทำให้องค์กรปรับตัวได้ดีกว่า
1.2 O : Open minded Adminstration (เปิดใจกว้างสร้างทางเลือกที่หลากหลาย) “เป็นการบริหารจัดการที่ดี” เนื่องจากโรงเรียนจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว กิจกรรมลักษณะในหน้าที่ความรับผิดชอบและการเปิดใจกว้างในการสร้างทางเลือกและเลือกทางเลือกในการร่วมมือรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะเป็นพลังขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จอีกครั้ง มีการมอบหมายงานและแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้กับ ทุกกลุ่มงาน/ฝ่าย ในการดำเนินทุกกิจกรรมตามขอบข่ายงานและภารกิจเพื่อร่วมกันวางแผนและทำงานให้สำเร็จตามกรอบกิจกรรมที่ร่วมกำหนดไว้
1.3 N : Network (ภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนา) หมายถึง การปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วมนั้นไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัว ระดับโรงเรียน ระดับชุมชน ระดับองค์กร หรือระดับชาติ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนทัศน์ปัจจุบัน เพราะจะช่วยให้ผู้มีส่วนร่วมเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Owenership) และจะทำให้ผู้มีส่วนร่วมหรือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยินยอมปฏิบัติตาม (Compliance) และรวมถึงตกลงยอมรับ (Commitment) ได้อย่างสมัครใจและสบายใจ
1.4 G : Growth Mindset (สนุกกับการแก้ปัญหา/พัฒนาสิ่งใหม่) ภายใต้กิจกรรมสร้างสรรค์ “หนึ่งห้องเรียนหนึ่งนวัตกรรม” ที่โรงเรียนใช้เป็นกิจกรรมขับเคลื่อนเพื่อเสริมสร้างความรับผิดชอบของนักเรียน ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ (Active Learning) กิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์หรือวิธีวิจัย (Research - based Learning) เรียนรู้ที่เน้นการวิจัยถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของ การเรียนรู้ เพราะเป็นรู้ที่เน้นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียนโดยตรง เป็นการพัฒนากระบวนการแสวงหาความรู้และการทดสอบความสามารถในการรับรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
1.5 L : Leadership (สร้างผู้นำทำความดีด้วยหัวใจ) ภายใต้กิจกรรมสร้างสรรค์ “การเรียนรู้ผ่านโครงงาน” (Project-based Learning) การเรียนรู้ด้วยโครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญอีกรูปแบบหนี่งที่เน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษา สำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น โดยครูผู้สอนเปลี่ยนบทบาทตนเองจากการเป็นผู้ให้ความรู้ (Teacher) เป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) หรือผู้ให้คำแนะนำ (Guide) ทำหน้าที่ให้นักเรียนออกแบบกระบวนการเรียนรู้เป็นทีม กระตุ้น แนะนำ และให้คำปรึกษาเพื่อให้โครงงานสำเร็จลุล่วง ซึ่งประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยโครงงานที่นักเรียนได้รับ จึงมิใช่ตัวความรู้ (Knowlesge) หรือวิธีการหาความรู้ (Swarching) แต่เป็นทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม และทักษะอื่นๆ อีกมากมาย
1.6 E : Environment (สร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นสื่อต้นแบบ) สื่อต้นแบบนับเป็นครู ที่พูดไม่ได้ ถ้าหากนักเรียนได้ซึมซับจากสิ่งแวดล้อมที่ดี จะช่วยกล่อมเกลาชีวิตจิตใจให้นักเรียนเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ
1.7 หลังการพัฒนา/การเสริมสร้าง โรงเรียนควรมีการตรวจสอบพฤติกรรมที่สะท้อน ความรับผิดชอบของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง เพื่อดูแนวโน้มความคงทนต่อเนื่องและยั่งยืน และทบทวนกิจกรรมต่างๆ เพื่อปรับปรุงพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ของโรงเรียน เช่น วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของโรงเรียน
2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความรับผิดชอบของนักเรียนอย่างยั่งยืน
2.2 ควรศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นคนดีที่มีความรับผิดชอบของนักเรียนกับสภาพแวดล้อมของบ้าน โรงเรียน วัดและมัสยิดในชุมชนที่นักเรียนอยู่อาศัย
2.3 ควรศึกษาผลกระทบทางบวกของการเป็นคนดี มีความรับผิดชอบของนักเรียนที่มีต่อชุมชน และสังคมโดยรอบสถานศึกษา