การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้โครงงาน
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้โครงงาน
ร่วมกับเทคนิคการสืบเสาะหาความรู้เพื่อเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ผู้วิจัย นางหทัยกาญจน์ บุญตัน
ปีการศึกษา 2562
หน่วยงาน โรงเรียนเทศบาล 3 (หล่ายอิงราษฎร์บำรุง)
สังกัดกองการศึกษาเทศบาลเมืองพะเยา
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
กรอบแนวคิดการวิจัย
ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้โครงงานร่วมกับเทคนิคการสืบเสาะหาความรู้เพื่อเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยสำหรับการพัฒนารูปแบบ ดังนี้
1. แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ (Research and Development) โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ในการศึกษา เรื่องการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้โครงงานร่วมกับเทคนิคการสืบเสาะหาความรู้เพื่อเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นั้น ผู้วิจัยใช้วิธีดำเนินการวิจัยในลักษณะการวิจัยและพัฒนา (Research and Development)เนื่องจากแนวคิดการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) สามารถนำมาใช้ในการแสวงหาและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ได้จากการสังเคราะห์แนวคิดของการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) และแนวคิดวิธีการเชิงระบบ (System Approach) ADDIE Model ของ เควินครูส (Kevin Kruse, 2009 : 1-2) และดิกส์ คาร์เร่ (xxx and Carey, 2005 : 1-8) ผู้วิจัยได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นกรอบแนวคิด ในงานวิจัยการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้โครงงานร่วมกับเทคนิคการสืบเสาะหาความรู้เพื่อเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กำหนดการวิจัยเป็นขั้นตอน 4 ขั้น คือ 1) ขั้นศึกษาวิเคราะห์ (Analysis) = Research : (R1) เป็นการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน 2) ขั้นการออกแบบ (Design) และการพัฒนา (Development) = Development : (D1) เป็นการออกแบบและพัฒนารูปแบบและหาประสิทธิภาพของรูปแบบ 3) ขั้นการนำไปใช้ (Implement) = Research : (R2) เป็นการทดลองใช้รูปแบบ และ4 ) ขั้นการประเมินผล (Evaluation) = Development : (D2) ประเมินประสิทธิผลรูปแบบนอกจากนี้ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ด้วยการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) และเสริมด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methods) เพื่อตอบคำถามการวิจัยให้ครอบคลุมตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ โดยใช้โครงงานร่วมกับเทคนิคการสืบเสาะหาความรู้เพื่อเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการสร้างนวัตกรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ การที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างนวัตกรรมขึ้นเองอย่างมีระบบ โดยอาศัยการแสวงหาความรู้ ด้วยการสืบเสาะหาความรู้ และผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ผ่านสื่อและเทคโนโลยี ได้ตลอดเวลาทุกสถานที่โดยมีครูทำหน้าที่ แนะนำ ช่วยเหลือ สนับสนุน 2) วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประวัติศาสตร์ และความสามารถในการสร้างนวัตกรรม 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย 5 ขั้น คือ (1) ขั้นให้ความสำคัญ (Highlight : H) (2) ขั้นริเริ่มสร้างสรรค์ (Inventive : I) (3) ขั้นขยายความคิด (Stretch : S) (4) ขั้นไตร่ตรองหาข้อสรุป (Thoughtful : T) และ (5) ขั้นให้ผลผลิต (Yield : Y) 4) การวัดและ ประเมินผล 2 ด้าน คือ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านความสามารถในการสร้างนวัตกรรม 5) เงื่อนไข สำคัญในการนำรูปแบบไปใช้ให้ประสบผลสำเร็จ ประกอบด้วย ผู้เรียนต้องมีความสามารถและความพร้อมในการใช้และเข้าถึงเทคโนโลยี มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ มีวินัยและมุ่งมั่นในการทำงาน จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการแสวงหาความรู้ของผู้เรียน
3. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยแนวคิดที่ส่งผลให้นักเรียนได้ศึกษาและทำกิจกรรมเพื่อค้นพบข้อความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดยใช้กระบวนการทางประวัติศาสตร์ อันประกอบด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนการเป็นผู้มีเจตคติทางประวัติศาสตร์ แล้วเสนอผลการศึกษาในรูปแบบการเขียนรายงานโครงงานประวัติศาสตร์แล้วนำผลงานและประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดค้น และสรุปผลการเรียนรู้
4. แนวคิดเทคนิคเกี่ยวกับการสืบเสาะหาความรู้ เป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งมาจากพื้นฐานปรัชญาการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ “Learning by Doing” เป็นการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructive Theory) มีองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้คือคำถามหรือการถามคำถาม (Asking Questions) ซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ในการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนมีบทบาทในการตั้งคำถามและครูมีบทบาทในการให้คำแนะนำวิธีการตั้งคำถามแก่ผู้เรียน และส่งเสริมสนับสนุนกระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหาคำตอบ และตอบคำถามต่าง ๆ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำถาม และวิธีการเก็บข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลอ้างอิง และสรุปคำตอบของปัญหาหรือประเด็นนั้น โดยครูเป็นผู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการสืบเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง
5. แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประวัติศาสตร์ ผลของการสะสมความรู้ความสามารถทักษะเจตคติทางประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์และการเรียนรู้ของผู้เรียนในทุกด้านเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกผลของการจัดการเรียนรู้ การพิจารณาความรู้ความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียนแล้วยังแสดงถึงคุณค่าของหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ ความรู้ความสามารถของครูผู้สอน โดยการใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น แบบทดสอบที่เป็นรูปแบบเดียวกัน หรือต่าง
รูปแบบกันก็ได้
6. แนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรม ความสามารถในการคิดใหม่ แนวคิดใหม่ ที่เกิดจากความคิด ความสามารถนำมาผสมผสานกับเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์ โดยอาศัยความรู้ ความชำนาญที่มีอยู่ในตัวของผู้เรียนเป็นแนวทางที่ปฏิบัติใช้ได้จริงในอนาคตโดยอาศัยความรู้ ในทางทฤษฎี ทักษะและเทคโนโลยีมาเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์นวัตกรรม และมีการประเมินนวัตกรรมโดยใช้การประเมินการทำโครงงานประวัติศาสตร์สามารถประเมินได้จากทุกขั้นตอนของการปฏิบัติโดยสังเกตจากการทำกิจกรรมในกระบวนการเรียนรู้ และการปฏิบัติการทดลองของผู้เรียน ซึ่งสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ที่ประเมินได้จากการทำโครงงานประวัติศาสตร์ โดยใช้แบบประเมินนวัตกรรมซึ่งเป็นการประเมินโดยใช้เกณฑ์การประเมินแบบแยกองค์ประกอบย่อย ติดตามและให้การช่วยเหลือในระหว่างทำงาน ผลการประเมินที่ได้เป็นข้อมูลป้อนกลับในการปรับปรุงหรือแก้ไขการปฏิบัติให้ถูกต้องก่อนที่จะทำกิจกรรม ในขั้นตอน มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ
จากแนวคิดดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้เป็นแผนภาพดังต่อไปนี้ ดังแผนภาพที่ 1