การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดกา
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) พื่อสร้างแบบฝึกการอ่านสะกดคภาษาอังกฤษสำหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/9 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/9 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่2/9 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคำ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9 โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2559 จำนวน 45 คน โดยใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 1) แบบฝึได้แกการอ่านสะกด
คำภาษาอังกฤษ 2)แบบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีลักษณะเป็นข้อสอบอ่านสะกดคำจำนวน20 ข้อดำเนิน
การทดลองโดยให้ กลุ่มเป้าหมายทดสอบก่อนเรียน แล้วจึงใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษ เมื่อเรียน
จบแล้วให้นักเรียนทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแล้วจึงนำผลไปวิเคราะห์และทดสอบสมมติฐาน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบท (t-test)
ผลการวิจัย พบว่า
1. แบบฝึกการอ่านสะกดคภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2มีประสิทธิภาพเท่ากับ86.00/80.00
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/9 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคภาษาอังกฤษ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทางสถิติที่ระดับ.05
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/9 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/9 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่2/9 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคำ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9 โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2559 จำนวน 45 คน โดยใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 1) แบบฝึได้แกการอ่านสะกด
คำภาษาอังกฤษ 2)แบบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีลักษณะเป็นข้อสอบอ่านสะกดคำจำนวน20 ข้อดำเนิน
การทดลองโดยให้ กลุ่มเป้าหมายทดสอบก่อนเรียน แล้วจึงใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคำภาษาอังกฤษ เมื่อเรียน
จบแล้วให้นักเรียนทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแล้วจึงนำผลไปวิเคราะห์และทดสอบสมมติฐาน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบท (t-test)
ผลการวิจัย พบว่า
1. แบบฝึกการอ่านสะกดคภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2มีประสิทธิภาพเท่ากับ86.00/80.00
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/9 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกการอ่านสะกดคภาษาอังกฤษ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทางสถิติที่ระดับ.05