เผยแพร่ผลงาน
ยุวบูรณ์บำรุง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
สังกัด โรงเรียนเทศบาล ๓ ยุวบูรณ์บำรุง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
ผู้วิจัย นางพัชรินทร์ ชัยจันทร์
ปีที่ทำการวิจัย ๒๕๖๑
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ : กรณีศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๓ ยุวบูรณ์บำรุง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อประเมินผลโครงการโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนเทศบาล ๓ ยุวบูรณ์บำรุง ทั้ง ๘ ด้าน ดังนี้ ด้านบริบท ด้านปัจจัย ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต ด้านผลกระทบ ด้านประสิทธิผล ด้านความยั่งยืน ด้านการถ่ายโยงความรู้ และ
๒) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนเทศบาล ๓ ยุวบูรณ์บำรุง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการประเมิน ประกอบด้วย พระสงฆ์ ๓ รูป ผู้บริหาร ๒ คน ครูโรงเรียนเทศบาล ๓ ยุวบูรณ์บำรุง ๒๕ คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑-๖ จำนวน ๑๙๙ คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๓ จำนวน ๑๘๒ คน ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน ๑๓๕ คน บุคคลในชุมชน ๒๐ คน รวมประชากรจำนวน ๕๖๖ คน ใช้รูปแบบการประเมินโครงการของสตัฟเฟิลบีม (Daniel L. Stufflebeam) ที่มีชื่อว่า CIPP Model ต่อมาได้มีการขยายแนวคิดโดยการขยายผลผลิต (Product ) ออกเป็น IEST จึงเป็น CIPPIEST Model เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน ประกอบด้วยแบบประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ : กรณีศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๓ ยุวบูรณ์บำรุง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย จำนวน ๓ ฉบับ มีลักษณะแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) ๕ ระดับ สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (Mean ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD.) วิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอแบบพรรณนาความ
สรุปผลการประเมิน
๑.ผลการประเมินการดำเนินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนเทศบาล ๓
ยุวบูรณ์บำรุง มี 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ ๑ ประเมินผลก่อนการดำเนินโครงการ
๑.๑ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมิน พบว่า เป็นเพศหญิงมีจำนวนมากที่สุด อายุของผู้ตอบแบบประเมินที่มีจำนวนมากที่สุดอยู่ระหว่าง ๔๑ – ๕๐ ปี และลำดับสุดท้าย อายุระหว่าง ๒๑ – ๓๐ ปี ระดับการศึกษาของผู้ตอบแบบประเมินที่มีจำนวนมากที่สุด คือระดับมัธยมศึกษา รองลงมาคือ ระดับประถมศึกษา ลำดับสุดท้ายคือ ระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ในจำนวนนี้ พบว่า ผู้ตอบแบบประเมินที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ผู้ปกครองนักเรียน รองลงมาคือครูผู้สอน ลำดับสุดท้าย คือ พระสงฆ์และผู้บริหาร
๑.๒ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านบริบท พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ โครงการมีความสอดคล้องกับสภาพความต้องการ/ความสนใจของนักเรียน ผู้ปกครอง/ชุมชน และโครงการเหมาะสมกับเวลาและสถานการณ์ของสังคมในปัจจุบัน รองลงมาคือความสอดคล้องของโครงการกับนโยบายคุณธรรมนำความรู้ของรัฐบาล และโครงการเหมาะสมสอดคล้องกับแนวปฏิบัติและหลักธรรมพุทธศาสนา และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือโครงการมีความเหมาะสมกับบทบาทและหน้าที่ของโรงเรียน
๑.๓ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ผู้บริหารและครูมีพรหมวิหารประจำใจ มีความเป็นกัลยาณมิตรมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความเจริญงอกงามตามหลักไตรสิกขา,ครูรู้เข้าใจหลักการพัฒนาผู้เรียนตามหลักไตรสิกขา,มีการนิเทศ กำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง,สภาพโรงเรียนสะอาด เรียบร้อย ปลอดภัย สงบ ร่มรื่น ใกล้ชิดธรรมชาติอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ ผู้บริหารมีความซื่อสัตย์ จริงใจในการทำงาน,มีการร่วมมือกับผู้ปกครอง วัด และชุมชน เพื่อพัฒนาผู้เรียนและชุมชน,บริเวณโรงเรียนปราศจากสิ่งเสพติด อบายมุข สิ่งมอมเมาทุกชนิดและอยู่ในระดับ น้อยที่สุด คือครูสามารถจัดกิจกรรมได้สอดคล้องเหมาะสมหลักศาสนา,มีระบบตรวจสอบประเมินผลและเปิดโอกาสให้มีการเสนอแนะอย่างเป็นกัลยาณมิตรอย่างต่อเนื่อง
ระยะที่ ๒ การประเมินผลระหว่างการดำเนินโครงการ
๒.๑ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมิน พบว่า ผู้ตอบแบบประเมิน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีจำนวนมากที่สุด อายุของผู้ตอบแบบประเมิน ที่มีจำนวนมากที่สุดอยู่ระหว่าง ๑๐ – ๒๐ ปี และน้อยที่สุดมีอายุระหว่าง ๒๑ – ๓๐ ปี ระดับการศึกษาของผู้ตอบแบบประเมินที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ระดับประถมศึกษา รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษา น้อยที่สุดคือ สูงกว่าปริญญาตรี ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามครั้งนี้มีจำนวนมากที่สุด คือ นักเรียน รองลงมาคือผู้ปกครองนักเรียน และน้อยที่สุด คือพระสงฆ์และผู้บริหาร
๒.๒ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านกระบวนการดำเนินงาน พบว่าโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ การจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการพุทธธรรมหลักไตรสิกขาในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและเชื่อมโยงกับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ส่งเสริมความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตร อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยิ้มแย้ม มีเมตตาต่อกัน ทั้งครูต่อนักเรียน ครูต่อครู นักเรียนต่อนักเรียน นักเรียนต่อผู้ปกครอง และครูต่อผู้ปกครอง/ชุมชน,ส่งเสริมบุคลากรและนักเรียนให้ปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้อื่น รองลงมาคือ จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการใฝ่รู้และแสวงหาความรู้ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยหลักธรรม เช่น อริยสัจ ๔ นำนักเรียนไปเรียนรู้ที่แหล่งเรียนรู้ เช่น วัด หรือศาสนสถานเป็นประจำและต่อเนื่อง ส่งเสริมบรรยากาศ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ใฝ่สร้างสรรค์โดยยึดหลักคุณธรรมนำความรู้,ส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าในการรักษาและสืบต่อพุทธศาสนา และน้อยที่สุดคือจัดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ทั้งผู้เรียนและผู้จัดการเรียนรู้,ฝึกฝนอบรมให้เกิดการ กิน อยู่ ดู ฟัง เป็น (รู้เข้าใจเหตุผล และได้ประโยชน์ตามคุณค่าแท้ตามหลักไตรสิกขา)
ระยะที่ ๓ การประเมินผลเมื่อสิ้นสุดโครงการ
๓.๑ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมิน พบว่า ผู้ตอบแบบประเมิน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีจำนวนมากที่สุด อายุของผู้ตอบแบบประเมิน ที่มีจำนวนมากที่สุดอยู่ระหว่าง ๑๐ – ๒๐ ปี และน้อยที่สุดมีอายุระหว่าง ๒๑ – ๓๐ ปี ระดับการศึกษาของผู้ตอบแบบประเมินที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ระดับประถมศึกษา รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษา น้อยที่สุดคือ สูงกว่าปริญญาตรี ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามครั้งนี้มีจำนวนมากที่สุด คือ นักเรียน รองลงมาคือผู้ปกครองนักเรียน และน้อยที่สุด คือพระสงฆ์และผู้บริหาร
๓.๒ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านผลผลิต โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ นักเรียนปฏิบัติตนต่อพ่อแม่ ครู ญาติผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ มีความกตัญญูรู้คุณ ตอบแทนคุณ (กตัญญูกตเวที) รองลงมาคือ นักเรียนตระหนักในบาป–บุญ คุณ–โทษ เข้าใจถึง ผลดีและผลเสียจากการปฏิบัติและไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ นักเรียนแต่งกายสะอาด เรียบร้อย ถูกต้องตามกาลเทศะ,นักเรียนมีสุขภาพจิตที่ดี แจ่มใส ร่าเริง เบิกบาน
๓.๓ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านผลกระทบ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ โรงเรียน วัด และชุมชนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมากขึ้น รองลงมาคือ วัดมีส่วนร่วมในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษา และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีการร่วมมือจัดกิจกรรมระหว่างวัด ชุมชนและโรงเรียนมากขึ้น
๓.๔ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านประสิทธิผล ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนๆและคนในครอบครัว ระดับมากที่สุด รองลงมาคือ นักเรียนยึดหลักอิทธิบาท ๔ ในการปฏิบัติงานให้สำเร็จอย่างมีคุณภาพและอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ นักเรียนมีพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดวิเคราะห์มากขึ้น
๓.๕ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านความยั่งยืน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าโครงการส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าในการรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนา อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ นักเรียนมีทักษะในการคิดอย่างมีเหตุผลด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เข้าใจและรู้คุณค่าแท้ของสรรพสิ่ง (โยนิโสมนสิการ) และอยู่ในระดับน้อยที่สุดคือ นักเรียนมีพฤติกรรมมุ่งเป็นผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภค
๓.๖ ผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ด้านการถ่ายโยงความรู้ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ นักเรียนปฏิบัติตนเป็นพุทธมามากะที่ดีและปฏิบัติตนตามศาสนพิธีได้ถูกต้อง รองลงมาคือ นักเรียนปฏิบัติตนในการอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกัน ได้อย่างมีความสุขตามหลักสังคหวัตถุ ๔ (ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา ) และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ นักเรียนมีความรู้ เข้าใจหลักธรรมและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เหมาะสม
๒. ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนเทศบาล ๓ ยุวบูรณ์บำรุง
ผลการศึกษาโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านความพึงพอใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์มากขึ้น รองลงมาคือ กิจกรรมสอดคล้องตรงตามความต้องการของชุมชน (บริบท),การส่งเสริมให้นักเรียนปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี (การถ่ายโยงความรู้) และอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีการติดตามดูแลนักเรียนอย่างต่อเนื่อง (กระบวนการ)