รายงานการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ (MIA)
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา มีดังนี้ 1) แบบสอบถามความต้องการหัวข้อเรื่องเพื่อนำมาสร้างแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (สำหรับครูผู้สอนและนักเรียน) 2) แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ จำนวน 14 เรื่อง 3) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ จำนวน 14 แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้เวลาในการจัดการเรียนการสอนทั้งสิ้น 14 ชั่วโมง 4) แบบวัดทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ (Dependent Sample t–test)
ผลการศึกษาพบว่า
1.ผลการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศกับนักเรียน 4 กลุ่ม ดังนี้ หาประสิทธิภาพของแบบฝึกกับนักเรียนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (3 คน) พบว่ามีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.57/76.19 หาประสิทธิภาพของแบบฝึกกับนักเรียนแบบกลุ่มเล็ก (12 คน) พบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ 79.03/76.79 หาประสิทธิภาพของแบบฝึกกับนักเรียนแบบทั้งชั้น (23 คน) พบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ 79.19/77.80 และหาประสิทธิภาพของแบบฝึกกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง (25 คน) พบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ 79.53/77.54 ซึ่งมีค่าประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดให้ทั้ง 4 ครั้ง
2.ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3.นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอร์ดอกซ์ (MIA) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ค่าเฉลี่ยรวมความพึงพอใจของนักเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58