รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านฯ น.ส.จุรีพร เหิมขุนทด ร.ร.คีรีว
ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒
ชื่อผู้รายงาน : นางสาวจุรีพร เหิมขุนทด
สถานศึกษา : โรงเรียนคีรีวัฒนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต ๔
ปีการศึกษา : ๒๕๕๔
บทคัดย่อ
การศึกษาสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของโรงเรียนคีรีวัฒนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต ๔ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระที่ ๑การอ่าน อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เนื่องจากครูผู้สอนยังใช้การสอนแบบเก่าๆ ขาดการสร้างและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี มีคุณภาพและประสิทธิภาพที่จะส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ดังนั้นผู้รายงานจึงสนใจในการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้พัฒนาการจัดการเรียนรู้ ศึกษาดัชนีประสิทธิผลในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ จำนวน ๒๘ คน โรงเรียนคีรีวัฒนา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต ๔ ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้รายงานทำการสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ประกอบการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการศึกษาเป็นแบบกลุ่มเดียว ทำการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pre-test Post-test Design) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๘ แผน ๓๒ ชั่วโมง แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์จำนวน ๘เล่ม แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นคำถามแบบเลือกตอบชนิด ๔ ตัวเลือก จำนวน ๖๐ ข้อ ซึ่งมีค่าดัชนีความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง ๐.๓๗–๐.๗๙มีค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ ๐.๒๕–๐.๘๖และค่าความเชื่อมั่น ๐.๙๑และแบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน ๒๓ ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage : %) ค่าเฉลี่ย (Mean : ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้t - test (Dependent Samples)
ผลการศึกษาพบว่า
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๔.๒๔/๘๑.๒๕สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (๘๐/๘๐) ที่กำหนดไว้การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ ๐.๕๗๒๐แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๗.๒๐ สูงกว่าเกณฑ์ (๐.๕๐ ขึ้นไป)และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์ อยู่ในระดับดีมาก (๔.๔๖)
สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนและยังทำให้นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้น สามารถนำไปใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนของนักเรียน ช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีและใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้สำหรับครูผู้สอน ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริม สนับสนุน ให้ครูผู้สอนสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์ให้ต่อเนื่อง มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ควรมีการพัฒนาแบบฝึกทักษะในกลุ่มสาระการเรียนรู้และเนื้อหาอื่น ๆ ต่อไป