การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึ
ชื่อเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ผู้วิจัย นางสาวจันจิรา ชูเมฆ
ภาคเรียนที่ 2/2560
สถานศึกษา โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 37 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) โดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 30 แผน 30 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น ( ) เท่ากับ 0.83 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยหนึ่งกลุ่มกับเกณฑ์ (One-Sample T-test)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.93/84.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.64 S.D. = 0.22
ผู้วิจัย นางสาวจันจิรา ชูเมฆ
ภาคเรียนที่ 2/2560
สถานศึกษา โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 37 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) โดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 30 แผน 30 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น ( ) เท่ากับ 0.83 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยหนึ่งกลุ่มกับเกณฑ์ (One-Sample T-test)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.93/84.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรม เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระทัศนศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.64 S.D. = 0.22