รายงานการใช้แบบฝึกเสริมทักษะตามแนวคิดผังกราฟฟิกของโจนส์ และคณะ
ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ
เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ชื่อผู้ศึกษา นายสิทธิชัย ภคภัทร ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
โรงเรียนสตรีอ่างทอง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ปีที่ศึกษา 2560
บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา ดังนี้ (1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผัง มโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสตรีอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 12 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 474 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนสตรีอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษามีดังนี้ (1) แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 5 ชุด (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 60 ข้อและ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที t – test (dependent) และหาค่าประสิทธิภาพสำหรับแบบฝึกเสริมทักษะ (E1/E2)
ผลปรากฏ ดังนี้
1. แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ(E1/E2) เท่ากับ 84.73/86.15 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2
3. ความพึงพอใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 4.74 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.14
เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ชื่อผู้ศึกษา นายสิทธิชัย ภคภัทร ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
โรงเรียนสตรีอ่างทอง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ปีที่ศึกษา 2560
บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา ดังนี้ (1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผัง มโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสตรีอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 12 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 474 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 โรงเรียนสตรีอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษามีดังนี้ (1) แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 5 ชุด (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 60 ข้อและ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที t – test (dependent) และหาค่าประสิทธิภาพสำหรับแบบฝึกเสริมทักษะ (E1/E2)
ผลปรากฏ ดังนี้
1. แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ(E1/E2) เท่ากับ 84.73/86.15 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2
3. ความพึงพอใจสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดผังกราฟิกของโจนส์ และคณะ เรื่อง การอ่านโดยใช้ผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 4.74 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.14