เผยแพร่การพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์
(พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
ผู้วิจัย นางสาวอรุณี เจริญจิตรกรรม
ปีวิจัย 2559 -2560
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์บริบทและสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ในการพัฒนาอุปนิสัยพอเพียงของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี 3) เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ในการพัฒนาอุปนิสัยพอเพียงของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาอุปนิสัยพอเพียงของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
การวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการตามกระบวนการวิจัยและพัฒนา ( Research and Development) แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาวิเคราะห์บริบทและสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหาร ครูและบุคลากรในโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) จำนวน 61 คน ด้วยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสังเคราะห์ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ ด้วยสถิติการบรรยาย ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรในโรงเรียนและผู้บริหารสถานศึกษาอื่น จำนวน 9 คน ในการจัดสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion : FGD.) และผู้บริหารสถานศึกษาที่ทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ จำนวน 9 คนในการตรวจสอบรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์และแบบตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย การหาค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสถิติการบรรยาย ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหาร เชิงกลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ ผู้ปกครองนักเรียนของโรงเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 366 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน (Two – Stage Random Sampling) และครูผู้สอนในโรงเรียน จำนวน 59 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ แบบประเมินอุปนิสัยพอเพียง แบบประเมินความสามารถในการจัดการเรียนรู้และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ขั้นตอนที่ 4 การประเมินรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและด้านการบริหารสถานศึกษา จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ และแบบสอบถามเพื่อการประเมินรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป
ผลการวิจัยพบว่า
จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1. การศึกษาวิเคราะห์บริบทและสภาพแวดล้อมของโรงเรียนจากการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกันระหว่างผู้บริหาร ครูผู้สอนและบุคลากรในโรงเรียน สรุปได้เป็น วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมายและยุทธศาสตร์การพัฒนาของโรงเรียน
2. รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาอุปนิสัยพอเพียงของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี (T.5 SSPCS Model) ประกอบด้วย ตัวรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์และองค์ประกอบ จำนวน 5 ด้าน คือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม การกำหนดกลยุทธ์ การปฏิบัติตามกลยุทธ์ การควบคุมและประเมินกลยุทธ์ และการสร้างความพึงพอใจ และผลการตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ พบว่า โดยรวมรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.81, S.D.=0.23) และเมื่อพิจารณาทั้งรูปแบบการบริหารและองค์ประกอบ พบว่า ทั้งรูปแบบการบริหารและองค์ประกอบทุกด้าน มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด โดยสูงสุดคือรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ และองค์ประกอบที่มีความเหมาะสมสูงสุด คือ การกำหนดกลยุทธ์ กับการปฏิบัติตามกลยุทธ์ รองลงมาคือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และการควบคุมและประเมินกลยุทธ์กับการสร้างความพึงพอใจ ตามลำดับ
3. การศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาอุปนิสัยพอเพียงของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี มีดังนี้
3.1 อุปนิสัยพอเพียงของนักเรียน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า โดยรวมผู้ปกครองนักเรียนมีความคิดเห็นต่ออุปนิสัยพอเพียงของนักเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด (x-bar =4.74, S.D.=0.34) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านและรายข้อ พบว่า ทุกด้านและทุกข้อผู้ปกครองนักเรียนมีความคิดเห็นต่ออุปนิสัยพอเพียงของนักเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด โดยสูงสุดคือ ด้านความพอประมาณ รองลงมาคือ ด้านเงื่อนไขความรู้ ลำดับต่อมาคือ ด้านเงื่อนไขคุณธรรม และด้านความมีเหตุผล กับด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ตามลำดับ
3.2 ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของครูในโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) พบว่า โดยรวม ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( x-bar=4.75, S.D.=0.27) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านครูมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยสูงสุดคือ ด้านความพอประมาณ รองลงมาคือ ด้านเงื่อนไขความรู้ ลำดับต่อมาคือ ด้านเงื่อนไขคุณธรรม และด้านความมีเหตุผลกับด้านการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านและรายข้อ พบว่า ทุกด้านและทุกข้อ ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในระดับมากที่สุด
3.3 ความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาอุปนิสัยพอเพียงของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พบว่า โดยรวมครูมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ อยู่ในระดับมากที่สุด ( x-bar=4.77, S.D.=0.27) และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบเป็นรายด้าน พบว่า องค์ประกอบทุกด้านครูมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยสูงสุดคือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม รองลงมาคือ การปฏิบัติตามกลยุทธ์ กับการสร้างความพึงพอใจ ลำดับต่อมาคือ การกำหนดกลยุทธ์กับการควบคุมและประเมินกลยุทธ์ ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อขององค์ประกอบแต่ละด้าน พบว่า ทุกข้อขององค์ประกอบแต่ละด้านครูมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด
4. การประเมินรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาอุปนิสัยพอเพียงของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 5 (พหลโยธินรามินทรภักดี) เทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พบว่า โดยรวมรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ มีความเหมาะสมสามารถปฏิบัติได้ อยู่ในระดับมากที่สุด ( x-bar=4.72, S.D.=0.12) และเมื่อพิจารณาทั้งตัวรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์และองค์ประกอบ พบว่า ทั้งตัวรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์และองค์ประกอบทุกด้าน มีความเหมาะสมสามารถปฏิบัติได้ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีความเหมาะสมสามารถปฏิบัติได้สูงสุดคือ ตัวรูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์ ส่วนองค์ประกอบด้านที่มีความเหมาะสมสามารถปฏิบัติได้สูงสุดคือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม รองลงมาคือ การปฏิบัติตามกลยุทธ์ ลำดับต่อมาคือ การสร้างความพึงพอใจ และการกำหนดกลยุทธ์ กับการควบคุมและประเมินกลยุทธ์ ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อขององค์ประกอบแต่ละด้าน พบว่า ทุกข้อขององค์ประกอบแต่ละด้านมีความเหมาะสมสามารถปฏิบัติได้อยู่ในระดับมากที่สุด