แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
โรงเรียนวัดอรัญคามวารี
ชื่อผู้ศึกษา ผกาพันธ์ ดิ้นทอง
สังกัด โรงเรียนวัดอรัญคามวารี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3
ปีการศึกษา 2559
บทคัดย่อ
การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2)เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านจับใจความ ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี 3)เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี 4)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนกลุ่มสาระภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี ประชากรที่ศึกษา เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 17 คน ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1)แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 6 ชุด 72 กิจกรรม 2)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 30 ข้อ 3) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 24 แผน 4)แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนเกี่ยวกับแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ t-test หาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะ (E.I.) วิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียน โดยใช้ค่าเฉลี่ย (x-bar) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารีมีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.72/82.17 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 80/80 มีความสอดคล้องกับสมมุติฐานผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการใช้แบบฝึกกับหลังการใช้แบบฝึกมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 89.80 มีความสอดคล้องกับสมมุติฐาน
โรงเรียนวัดอรัญคามวารี
ชื่อผู้ศึกษา ผกาพันธ์ ดิ้นทอง
สังกัด โรงเรียนวัดอรัญคามวารี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3
ปีการศึกษา 2559
บทคัดย่อ
การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2)เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านจับใจความ ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี 3)เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี 4)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนกลุ่มสาระภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี ประชากรที่ศึกษา เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 17 คน ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1)แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารี ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 6 ชุด 72 กิจกรรม 2)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 30 ข้อ 3) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 24 แผน 4)แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนเกี่ยวกับแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ t-test หาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะ (E.I.) วิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียน โดยใช้ค่าเฉลี่ย (x-bar) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดอรัญคามวารีมีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.72/82.17 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 80/80 มีความสอดคล้องกับสมมุติฐานผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการใช้แบบฝึกกับหลังการใช้แบบฝึกมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 89.80 มีความสอดคล้องกับสมมุติฐาน