การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค T
เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ผู้วิจัย ว่าที่ร้อยตรีถิระพงศ์ จันทบุตร
ปีการศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
สถานศึกษา โรงเรียนผักไหมวิทยานุxxxล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28
บทคัดย่อ
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป โดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจ
กับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น
3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วย บทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
ที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 จำนวน 36 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนผักไหมวิทยานุxxxล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม รูปแบบการวิจัยเป็นรูปแบบการวิจัยแบบทำการทดสอบ
ก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest - Posttest Design) ระยะเวลาในการทดลอง คือ
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รายวิชาสุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
2) บทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ที่มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.24 - 0.78 และค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.37 - 0.92 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.83 2) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.53 – 0.89 มีค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ t-test (Dependent Samples)
ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
1. บทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 86.45/84.79 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.66 หรือ คิดเป็นร้อยละ 66.00 แสดงว่าบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI ทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.00
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ด้วยบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีผลต่อการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด
( = 4.52, S.D. = 0.57) ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ ด้านที่ 2 บทเรียนสำเร็จรูปทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศมากขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.94, S.D. = 0.23) รองลงมา คือ ด้านที่ 3 บทเรียนสำเร็จรูปทำให้เกิดค่านิยมที่ดีขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษา อยู่ในระดับ
มากที่สุด ( = 4.89, S.D. = 0.32) รองลงมาคือ ด้านที่ 15 ผู้เรียนมีความมั่นใจในการดำรงชีวิต
และรู้จักการวางตัวในสังคม อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.83, S.D. = 0.38) และด้านที่มีความพึงพอใจ
น้อยที่สุดคือ ด้านที่ 10 ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากบทเรียนสำเร็จรูปอย่างมีอิสระ อยู่ในระดับมาก
( = 4.06, S.D. = 0.53)
สรุปผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI เรื่องการใส่ใจกับบทบาททางเพศ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นสื่อในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเหลือเพื่อนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญและเป็นประโยชน์กับนักเรียน ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน ดังนั้นควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูสาระการเรียนรู้อื่น ๆ หรือระดับชั้นอื่น ๆ นำบทเรียนสำเร็จรูปโดยใช้เทคนิค TAI ไปเป็นนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ เจตคติ และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ต่อไป