รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์
ชื่อเรื่อง : รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา”
ชื่อผู้วิจัย : นางสายรุ้ง บุญเป็ง
ปีที่ศึกษา : 2560
บทคัดย่อ
รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 อำเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 160 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สูตร E1/E2 ทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร t-test และหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านโดยใช้สูตรการหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลจากการศึกษาพบว่า
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รวมเฉลี่ยเท่ากับ 88.14/80.31 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน ก่อนเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 13.44 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 24.09 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย t-test ผลปรากฏว่า ค่า t คำนวณได้เท่ากับ 26.94 มากกว่าค่า t ในตารางคือ 2.4528 ที่ระดับ 0.01 df เท่ากับ 31 หมายถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นั่นคือ การเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
3. การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด โดยประเด็นที่นักเรียนมีความพึงพอใจสูงสุดคือ คำชี้แจงในแบบฝึกทักษะการอ่านมีความชัดเจน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ เนื้อหาของแบบฝึกทักษะการอ่านมีความเหมาะสม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด และประเด็นที่นักเรียนพึงพอใจน้อยที่สุดคือ นักเรียนสามารถนำความรู้จากเรื่องที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก
ชื่อผู้วิจัย : นางสายรุ้ง บุญเป็ง
ปีที่ศึกษา : 2560
บทคัดย่อ
รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 อำเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 160 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สูตร E1/E2 ทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร t-test และหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านโดยใช้สูตรการหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลจากการศึกษาพบว่า
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รวมเฉลี่ยเท่ากับ 88.14/80.31 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน ก่อนเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 13.44 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 24.09 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย t-test ผลปรากฏว่า ค่า t คำนวณได้เท่ากับ 26.94 มากกว่าค่า t ในตารางคือ 2.4528 ที่ระดับ 0.01 df เท่ากับ 31 หมายถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นั่นคือ การเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
3. การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด โดยประเด็นที่นักเรียนมีความพึงพอใจสูงสุดคือ คำชี้แจงในแบบฝึกทักษะการอ่านมีความชัดเจน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ เนื้อหาของแบบฝึกทักษะการอ่านมีความเหมาะสม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด และประเด็นที่นักเรียนพึงพอใจน้อยที่สุดคือ นักเรียนสามารถนำความรู้จากเรื่องที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก