การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ฯ
ผู้วิจัย นางสยามนต์ บุญชิต
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียน ตระกาศประชาสามัคคี ตำบลตระกาจ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
สังกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
ปีที่พิมพ์ 2558
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐาน สภาพบริบทด้านแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น และความต้องการจำเป็นในการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา ร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา ร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี ปีการศึกษา 2558 จำนวน 30 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัย ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านการนิเทศ และการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย จำนวน 5 ท่าน เจ้าของแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น จำนวน 10 คน ครูผู้สอนวิชาภาษาไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาเพื่อร่วมถอดบทเรียนในการประเมินรูปแบบการเรียนการสอน จำนวน 5 คน ดำเนินการวิจัยโดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพัฒนา (Research and Development)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับความพร้อมของสภาพบริบทด้านแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น โรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี จำนวน 1 ฉบับ 2) แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับความพร้อมของสภาพบริบทด้านแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น โรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี จำนวน 1 ฉบับ 3) แบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา จำนวน 1 ฉบับ 4) รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และเอกสารประกอบรูปแบบ 5) แบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยว จำนวน 1 ฉบับ 6) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 ฉบับ และ 7) แบบบันทึกการถอดบทเรียนการประเมินรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานหาประสิทธิภาพของรูปแบบโดยใช้สูต E1/E2 และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยการทดสอบที (t-test Dependence Sample) ในส่วนของข้อมูลเชิงคุณภาพผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ (Content Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เป็นการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ผลการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วย สาระการอ่าน สาระการเขียน สาระการฟัง การดู และการพูด สาระหลักการใช้ภาษาไทย และสาระวรรณคดีและวรรณกรรม ผลการศึกษาสภาพความพร้อมของบริบทแหล่งเรียนรู้ภายในท้องถิ่นและความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้ภาษาไทยแบบซิปปาได้ข้อสรุปว่า หลักการ ทฤษฎีต่างๆ ที่ผู้วิจัยศึกษาเพื่อใช้เป็นกรอบแนวคิดในการสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนมีความเหมาะสมสอดคล้องกับรูปแบบที่สร้างขึ้น และเมื่อศึกษาสภาพความพร้อมของบริบทแหล่งเรียนรู้ภายในท้องถิ่น โรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี พบว่า แหล่งเรียนรู้มีความพร้อมและเอื้อต่อการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนนี้ ทั้งเจ้าของแหล่งเรียนรู้ยังยินดีให้ความร่วมมือ และพร้อมอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ แก่นักเรียน นอกจากนี้ ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้แบบซิปปา พบว่า นักเรียนมีความต้องการจำเป็นในการเรียนรู้ แบบการซิปปาอยู่ในระดับมากที่สุด
2. ผลการสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน มีความคิดเห็นว่าทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความเหมาะสมสอดคล้องของหลักการทฤษฎีต่าง ๆ ด้านความเป็นไปได้ของรูปแบบ และด้านความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และโดยภาพรวม รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้ แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (x-bar = 4.64)
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่นก่อนเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนนี้ เท่ากับ 23.23 และได้คะแนนเฉลี่ยความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่นหลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนนี้ เท่ากับ 41.77 จากคะแนนเต็ม 48 คะแนน เมื่อพิจารณาผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า รูปแบบมีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 86.41/87.01 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
4. ผลการประเมินรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผู้วิจัยพิจารณาอยู่ 3 ประเด็น กล่าวคือ 1) ประเด็นผลผลิต คือความสามารถของนักเรียนด้านการเขียนสารคดี 2) ประเด็นความพึงพอใจของผู้ใช้รูปแบบ คือความพึงพอใจของนักเรียน และ 3) ประเด็นการนำไปใช้และพัฒนาต่อเนื่อง ศึกษาจากครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 5 ท่าน พบว่า ความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนประเด็นความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนตระกาศประชาสามัคคี มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาร่วมกับการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนสารคดีท่องเที่ยวในท้องถิ่น อยู่ในระดับมากที่สุด (x-bar= 4.59) และผลการถอดบทเรียนเพื่อประเมินรูปแบบ โดยสรุป พบว่า ครูผู้สอนภาษาไทยเห็นพ้องต้องกันว่ารูปแบบการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความเป็นประโยชน์ และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เหมาะกับการพัฒนานักเรียนและสามารถต่อยอด ประยุกต์ในเนื้อหาอื่นๆ และรายวิชาอื่นๆ ได้อย่างดี