วิจัยปฏิบัติการการปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งช
ผู้วิจัย นางสุภาวดี อ่วมคง
ปีที่ทำวิจัย 2559
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิจัยปฏิบัติการปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 2) ศึกษาผลของการดำเนินงานปฏิรูปการเรียนรู้ 3) ศึกษาความพึงพอใจ ของผู้มีส่วนได้เสียกับการจัดการศึกษาของโรงเรียน ประชากรมีคือนักเรียนในระดับอนุบาล และประถมศึกษา ปีการศึกษา 2559 จำนวน 404 คน ผู้ปกครอง 404 คน คณะกรรมการสถานศึกษา 15 คน บุคลากรโรงเรียน 26 คน รวมทั้งสิ้น 890 คน กลุ่มตัวอย่าง ผู้ให้ข้อมูลมี 490 คน เป็นผู้ปกครอง 217 คน นักเรียน 273 คน คณะกรรมการสถานศึกษา 15 คน บุคลากรโรงเรียน 26 คน เครื่องมือที่ใช้มี 1) กลุ่มผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย มีผู้ปกครอง 25 คน คัดเลือกแบบเจาะจงจากชุมชนในเขตบริการ 25 ชุมชน ชุมชนละ 1 คน คณะกรรมการสถานศึกษา 12 คน คัดเลือกแบบเจาะจงจากคณะกรรมการสถานศึกษาที่ไม่ใช่บุคลากรโรงเรียน และบุคลากรโรงเรียน 26 คน รวมทั้งสิ้น 63 คน 2) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลมี 11 ฉบับ คือ (1) แบบสัมภาษณ์ 7 ฉบับ (2) แบบสอบถาม 2 ฉบับ (3) แบบบันทึก 1 ฉบับ และ (4) แบบสังเกต 1 ฉบับ ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อสอบแต่ละข้อกับจุดประสงค์ หรือ เนื้อหา (Index of Item Objective Congruence หรือ IOC) อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ คือมากกว่า 0.5 ขึ้นไป และตรวจสอบหาค่าความเชื่อมั่นด้วยวิธีการของครอนบาค (Cronbach) หรือหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา (Alpha Coefficient) ได้ค่าอัลฟ่าทั้งฉบับอยู่ระหว่าง 0.709 - 0.965 เมื่อเก็บข้อมูลมาแล้วได้ตรวจสอบคุณภาพข้อมูล โดยวิธีการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation Technique) สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1) รูปแบบการวิจัย ใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) ประกอบด้วยขั้นตอนการวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสังเกตตรวจสอบ (Observation ) และการสะท้อนผล (Reflection) จำนวน 2 วงรอบ โดย การพัฒนาในวงจรรอบที่ 1 เมื่อดำเนินการปฎิบัติครบทุกกิจกรรมแล้ว พบว่ากลุ่มเป้าหมาย มีความรู้ ความเข้าใจแต่ยังมีปัญหาที่จะต้องพัฒนาเพิ่มเติม คือ (1) อบรมเชิงปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน
เป็นสำคัญ (2) อบรมเชิงปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน (3) อบรมเชิงปฏิบัติการการวิจัยในชั้นเรียน (4) อบรมเชิงปฏิบัติการการวัดผลประเมินผลที่เน้นเรียนเป็นสำคัญ (5) ประชุมปฏิบัติการนิเทศสนับสนุนการเรียนการสอน ซึ่งก็ได้นำผลสะท้อนการปฏิบัติดังกล่าวไปสู่การพัฒนาในวงรอบที่ 2 โดยเมื่อพัฒนาเสร็จแล้วพบว่า การดำเนินงานปฏิรูปการเรียนรู้ทุกด้านบรรลุตามเป้าหมายของกิจกรรม
2) ผลการดำเนินการปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 อยู่ในระดับมาก โดยมีผลการดำเนินงานรายด้าน มีดังนี้ (1) ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ผลการจัดกระบวนการเรียนรู้ อยู่ในระดับมาก (2) ด้านสื่อการเรียนการสอนและแหล่งเรียนรู้ มีการพัฒนาการใช้สื่อการสอนและแหล่งเรียนรู้เพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้ของโรงเรียนได้ระดับมาก (3) ด้านการประเมินผลการเรียนรู้ ผลปรากฏว่าครูทำการประเมินผลตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก (4) ด้านการสร้างและการพัฒนาหลักสูตร มีการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้เหมาะสมกับความต้องการของสังคมและท้องถิ่น สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน อยู่ในระดับมาก (5) ด้านการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา โรงเรียนได้สร้างความสัมพันธ์กับชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของโรงเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด (6) ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ มีการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ในโรงเรียนอยู่ในระดับมาก (7) ด้านการพัฒนาบุคลากร มีการพัฒนาครูผู้สอนหลายรูปแบบ หลายวิธีการและต่อเนื่อง อยู่ในระดับมาก
3) ความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้เสียกับการจัดการศึกษาของโรงเรียน พบว่า มีความ พึงพอใจต่อการปฏิรูปการศึกษาของโรงเรียน ในด้านการปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 รวม 7 ด้าน เฉลี่ยอยู่ในระดับมาก