การประเมินโครงการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่านของโรงเรียนถ่อ
ผู้ประเมิน กุลชาติ ชลเทพ
ปีที่ทำการพิมพ์ 2557
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่านของโรงเรียนถ่อนวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 21 ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินด้านสภาวะแวดล้อมของโครงการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่านของโรงเรียนถ่อนวิทยา ตามความเห็นของกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน และผู้ปกครอง 2) ประเมินด้านปัจจัยเบื้องต้นของโครงการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่านของโรงเรียนถ่อนวิทยา ตามความเห็นของกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน และผู้ปกครอง 3) ประเมินด้านกระบวนการดำเนินงานของโครงการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่านของโรงเรียนถ่อนวิทยา ตามความเห็นของกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน และผู้ปกครอง 4) ประเมินด้านผลที่ได้รับของโครงการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่านของโรงเรียนถ่อนวิทยา ตามความเห็นของกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครอง และ 5) ประเมินด้านผลกระทบของโครงการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่านของโรงเรียนถ่อนวิทยา ตามความเห็นของกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครอง โดยประยุกต์ใช้รูปแบบประเมินของซิปป์ (CIPP Model)
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมิน รวมทั้งสิ้นจำนวน 400 คน ประกอบด้วย กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน ครูผู้สอน จำนวน 23 คน นักเรียน จำนวน 181 คน และผู้ปกครอง จำนวน 181 คน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มีจำนวน 2 ฉบับ มีค่าความเชื่อมั่นรายฉบับเท่ากับ 0.97 และ 0.95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสถิติสำเร็จรูป คำนวณหาค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า
1. ด้านสภาวะแวดล้อม กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน และผู้ปกครอง เห็นว่า โดยรวมมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ทุกข้อมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด สำหรับข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ โครงการมีความเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ปัญหาของโรงเรียน และความต้องการของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน รองลงมา คือ ห้องสมุดมีความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาด้านการอ่านของนักเรียน และ การพัฒนาห้องสมุดสามารถช่วยให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านและรักการศึกษาค้นคว้า ตามลำดับ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ โรงเรียนจัดห้องสมุดเป็นแหล่งบริการข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศที่ทันสมัยแก่นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน
2. ด้านปัจจัยเบื้องต้น กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน และผู้ปกครอง เห็นว่า โดยรวมมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ทุกข้อมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด สำหรับข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนมีความรู้ความสามารถในการพัฒนาห้องสมุด รองลงมา คือ ทรัพยากรสารสนเทศ เช่น สิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มีปริมาณที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักสูตร และความต้องการของผู้ใช้บริการ และ ห้องสมุดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและมีสภาพดี เหมาะสมต่อการให้บริการแก่นักเรียน ครู และชุมชน ตามลำดับ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ห้องสมุดมีอินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อเพื่อการสืบค้นข้อมูลอย่างเพียงพอและเหมาะสม
3. ด้านกระบวนการดำเนินงาน กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน และผู้ปกครอง เห็นว่า โดยรวมมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ทุกข้อมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด สำหรับข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ได้ดำเนินกิจกรรมที่กำหนดในโครงการตามขั้นตอนทุกกิจกรรม รองลงมา คือ ก่อนการดำเนินงานมีการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการพัฒนาห้องสมุด และ มีการนิเทศให้คำแนะนำช่วยเหลือการดำเนินงานของคณะกรรมการดำเนินโครงการ ตามลำดับ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ มีการวิเคราะห์และนำผลการประเมินไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง
4. ด้านผลที่ได้รับ กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครอง เห็นว่า โดยรวมมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ทุกข้อมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด สำหรับข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ นักเรียน ครูผู้ปกครอง และชุมชน มีความพึงพอใจต่อการพัฒนาห้องสมุดเพื่อส่งเสริมการอ่าน รองลงมา คือ นักเรียนสามารถสรุปความรู้ที่ได้จากการอ่านและการเรียนรู้บันทึกเป็นองค์ความรู้ได้ และ มีมุมความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นและเหมาะสม ตามลำดับ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ นักเรียนมีทักษะในการเข้าใช้บริการสืบค้นความรู้จากหนังสือสารานุกรมไทยและแหล่งข้อมูลอื่น ๆ
5. ด้านผลกระทบ กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูผู้สอน นักเรียน และผู้ปกครอง เห็นว่า โดยรวมมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ทุกข้อมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก ถึงมากที่สุด สำหรับข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ โรงเรียน ผู้ปกครองและชุมชน มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมากขึ้น รองลงมา คือ ผู้ปกครองและชุมชนมีความพึงพอใจในการจัดการศึกษาของโรงเรียนมากขึ้น และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น ตามลำดับ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ นักเรียนมีพัฒนาการทางสติปัญญาและมีการคิดวิเคราะห์มากขึ้น