รายงานการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หล
ผู้วิจัย นายชุมพร ภูพันนา ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20
ปีที่ศึกษา 2556
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ในการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จำนวน 40 คน โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผล ของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน จับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่าน จับใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/9 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จำนวน 40 คน โดยใช้วิธีแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน โดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 8 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 16 ชั่วโมง 2) แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 เล่ม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 35 ข้อ และ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) จำนวน 15 ข้อโดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า t-test
ผลการวิจัยสรุปดังนี้
1. แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้รายงานศึกษาและจัดทำขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คือ 86.50/80.79
2. แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้รายงานศึกษาและจัดทำขึ้นมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.5703 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนร้อยละ 57.03
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) มีคะแนนการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05
4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) โดยมีระดับความพึงพอใจมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51
สรุป การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักบูรณาการของเมอร์ดอคซ์ (MIA) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนรู้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่อไป